ดร.อานนท์ เอื้อตระกูล
ผู้เชี่ยวชาญอาวุโส(เห็ด)
องค์การสหประชาชาติ ปี พ.ศ. 2524-2548

ย้อนไปตั้งแต่คุณสง่า เอื้อตระกูล อยู่ระหว่างการฝึกภาคสนามในป่าตามภูมิภาคต่างๆของประเทศ ในฐานะนักเรียนโรงเรียนป่าไม้ จังหวัดแพร่ ปี 2506 เป็นต้นมารวมทั้งได้รับการบรรจุทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้เขต อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน จนกระทั่งมีความก้าวหน้าทางราชการเป็นป่าไม้อำเภอในหลายจังหวัดทางภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ ต่อมาได้ดำรงตำแหน่งเป็นป่าไม้จังหวัดในหลายจังหวัดทั้งภาคเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือและใต้ก่อนที่จะเกษียณอายุในปี 24546 ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นผู้เชี่ยวชาญพิเศษ(อาวุโส) ไนท์ซาฟารี เชียงใหม่

เนื่องจากคุณสง่า เอื้อตระกูล เกิดเป็นพี่ชายคนโตในตระกูลเอื้อตระกูล บุตรชายของนายเอื้อ นางแสงมอญ เอื้อตระกูลมีพี่น้องร่วมกันทั้งหมด 5 คน คือ 1. คุณสง่า เอื้อตระกูล 2. อาจารย์แสงจันทร์ เจียศิริพงษ์กุล 3. คุณอนันต์ เอื้อตระกูล อดีตประธานสภาจังหวัดแม่ฮ่องสอน(ถึงแก่กรรม) 4. ดร.อานนท์ เอื้อตระกูล 5. อาจารย์อรทัย เอื้อตระกูล ทางครอบครัวมีอาชีพค้าขายสินค้าเกษตร บางช่วงหลังการเก็บเกี่ยวเมื่อมีเวลาว่าง จะทำการเพาะเห็ดฟางแบบกองสูงเป็นอาชีพเสริม และตลอดเวลารับราชการของคุณสง่า ที่เกี่ยวข้องกับป่าไม้มาตลอดชีวิตราชการ ได้มีโอกาสเข้าไปปฏิบัติราชการในป่า เพื่อพิทักษ์รักษาป่าในหลายพื้นที่ รวมทั้งมีความสัมพันธ์อันดีกับเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ของประเทศเพื่อนบ้าน เช่น พม่า ลาวและกัมพูชา นอกจากนี้ ยังเป็นวิทยากรที่สำคัญในการทำงานกับชาวบ้าน ชาวเขา ที่หากินหรืออาศัยอยู่กับป่าให้มีการอนุรักษ์พิทักษ์รักษาป่ามาโดยตลอดและอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้มีโอกาสได้พบได้เห็น ได้ศึกษาความเป็นอยู่และผูกพันกับมวลชนอย่างยาวนาน ในระหว่างปี 2512-2535 เป็นช่วงที่ทางราชการให้สัมปทานการทำไม้ให้แก่องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้(ออป.)และเอกชน ทำการตัดสางต้นไม้โดยเฉพาะ ต้นไม้ตายแห้งจากป่าเกือบทั่วประเทศ มีไม้มากมายหลายชนิดที่มีขนาดใหญ่ ได้ถูกตัดโค่น ต้นไม้ที่ถูกตัดโค่นจำนวนไม่น้อยที่มีขนาดใหญ่ บางส่วนของลำต้นหรือกิ่งที่ตายไปแล้ว มักจะมีเห็ดหิ้งหรือเห็ดกระด้างเกิดขึ้น ซึ่งส่วนที่เป็นปลายไม้ รวมทั้งเห็ด ผู้รับสัมปทานทำไม้มักจะปล่อยทิ้งไว้ให้เน่าเปื่อยผุพังอยู่ในป่า มีชาวบ้านมักนิยมเก็บเอาเห็ดที่มีลักษณะที่แข็งเหมือนไม้ มักเรียกเหมารวมเห็ดที่แข็งเหมือนไม้ว่าเห็ดกระด้างหรือเห็ดหิ้ง เป็นเห็ดที่รับประทานไม่ได้ เพราะมีลักษณะแข็งเหมือนไม้(ไม่ใช่เห็ดพิษ) มีลักษณะรูปร่าง สีสัน ขนาด แตกต่างกันไปหลากหลาย ส่วนใหญ่มักขึ้นอยู่กับต้นไม้ที่ตายแล้ว หรือบางส่วนของต้นไม้ที่ตายไปแล้ว บางครั้งจะเห็นเห็ดพวกนี้เกิดขึ้นตามต้นไม้ที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่มันก็จะเจริญอยู่ในส่วนที่เป็นเปลือก ตามง่ามตาของต้นไม้ ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า หูดหรือตุ่มต้นไม้ และเข้าใจกันว่า หากมีเห็ดพวกนี้เกิดขึ้นมากๆ ในที่สุด จะทำให้ต้นไม้ตายได้

ดังนั้น เมื่อชาวบ้านพบเห็น หากอยู่ในวิสัยที่เก็บเกี่ยวได้ง่าย ก็จะใช้มีด จอบ หรือเสียมถากออกจากต้นไม้ทิ้ง ด้วยความเชื่อที่ว่า จะเป็นการช่วยรักษาชีวิตของต้นไม้นั้นๆได้ ชาวบ้านบางราย นำเอาเห็ดที่มีลักษณะแข็งเหมือนไม้เหล่านี้ เอาไปใช้เป็นเชื้อเพลิงแทนฟืน บางรายก็จะเก็บสะสมไว้เพราะดูสวยดี เนื่องจาก เห็ดแต่ละดอก จะมีรูปร่างแตกต่างกันไป สวยดี บางรายนำเอาไปแกะสลักเป็นรูปแบบต่างๆ รวมทั้งทำเป็นเฟอร์นิเจอร์ แต่ที่น่าสนใจ ได้มีหมอพื้นบ้าน แทบทุกภาค นำเห็ดเหล่านี้บางชนิด เอาไปเป็นส่วนผสมสำคัญของยาสมุนไพร ในการรักษาโรคหลากหลาย ดังนั้น ทุกครั้งที่คุณสง่าได้มีโอกาสเข้าไปปฏิบัติราชการในป่า หรือพบปะกับชาวบ้านที่เก็บรวบรวมของจากป่า เมื่อเห็นชาวบ้านตัดเอาเห็ดที่เป็นหูดไม้ทิ้ง หรือนำเอามาเป็นฟืน ก็จะขอบางส่วน หรือซื้อบางส่วนเอามาเก็บสะสมไว้

เนื่องจาก แต่ละดอก มีลักษณะที่แตกต่างกัน เป็นความสวยงามของธรรมชาติ ที่สำคัญ เนื่องจาก มันมีลักษณะพิเศษที่แข็งเหมือนไม้ สามารถเก็บไว้นานๆได้ แน่นอน เห็ดบางอย่าง เช่น เห็ดจวักงูเห่าหรือเห็ดซิ้น ปัจจุบันเรียกเห็ดหลินจือนั้น หากเก็บไว้นานๆ อาจจะมีมอดเข้าไปทำลายผุพังไปได้ แต่มีเห็ดบางชนิดแข็งมาก เช่น เห็ดที่เกิดตามต้นแงะ(ภาษาเหนือ) ต้นจิกหรือต้นเค็ง(ภาษาอิสาน) ต้นเต็ง(ภาษากลาง) เห็ดที่เกิดขึ้นตามต้นดังกล่าว ก็จะเรียกชื่อเห็ดตามนั้น เช่น ทางภาคเหนือ เรียกเห็ดไม้แงะ ทางอิสานเรียกเห็ดจิกหรือเห็ดเค็ง แต่หากขึ้นตามต้นกระถินพิมาน ก็จะเรียกว่า เห็ดกระถินพิมาน เห็ดชนิดนี้แข็งมาก ศัตรูประเภทมอดเข้าไปทำลายได้ยาก เห็ดพวกนี้จะเก็บไว้ได้นานหลายๆปี จากการเริ่มสะสมเห็ดตระกูลเห็ดหิ้งหรือเห็ดกระด้างของคุณสง่านั้น จากเริ่มต้นที่มีไม่มากนัก ก็จะเก็บมาตกแต่งเพื่อความสวยงามตามมุมต่างๆของบ้านและสำนักงานที่อาศัยอยู่ เมื่อมีการย้ายไปปฏิบัติหน้าที่หรือถูกเลื่อนตำแหน่ง ที่จะเป็นจะต้องย้าย ก็จะนำเอาเห็ดบางส่วนที่สวยงามนำติดตัวไปด้วย และมีหลายต่อหลายครั้ง ส่งไปเก็บรวบรวมไว้ยังบ้านเกิดที่บ้านร่องกาศ อำเภอสูงเม่น จังหวัดแพร่ เพราะทางบ้าน ทำอาชีพเพาะเห็ดนางรม เห็ดนางฟ้าเป็นธุรกิจมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2517 เป็นต้นมา โดยมีอาจารย์ธวัชและอาจารย์แสงจันทร์ เจียศิริพงษ์กุล เป็นผู้ดูแลกิจการอยู่ ทำให้สถานที่นี้ กลายเป็นแหล่งรวบรวมเห็ดหิ้งหรือเห็ดกระด้างสะสมไว้จำนวนมาก

จนกระทั่ง เมื่อ ดร.อานนท์ เอื้อตระกูล ในฐานะผู้เชี่ยวชาญเห็ดอาวุโส ขององค์การค้าโลก แห่งสหประชาชาติ ได้ไปประชุมทางวิชาการเกี่ยวกับเห็ด ที่รัฐแมรีแลนด์ ใกล้กับศูนย์เก็บรวบรวมพันธุ์เห็ดจากทั่วโลก ที่เรียกว่า สถาบัน เอทีซีซี (ATCC = American Types Cultures Collection) ในช่วงนั้น ได้มีการพูดถึงการนำเอาเห็ดมารักษาโรคมะเร็งซึ่งก็ได้แก่ เห็ดตระกูลเห็ดหิ้งเป็นส่วนใหญ่ เช่น เห็ดหลินจือ เห็ดขอนหลากสี แต่มีเห็ดอีกชนิดหนึ่งที่สร้างความฮือฮาในที่ประชุมทางวิชาการ ที่ทางอเมริกาใช้ในการักษาโรคมะเร็งอย่างได้ผลในมะเร็งหลายชนิด ได้ดีกว่าเห็ดหิ้งทุกชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งตับ เป็นเห็ดที่มาจากทางเอเชีย คือ ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ โดยทางญี่ปุ่นเรียกว่า เมชิมาตาเก๊ะ (Meshima-take) เกาหลีเรียก ซางฮวง(Sang Hwang) จีนเรียก ฉางอินหรือฉางฉิน(Sang-I or Sang-shin Lingchi หรือจ้าวหลินจือ) ซึ่งเห็ดชนิดนี้ มีจำหน่ายในร้านขายสมุนไพรจากตะวันออกหรือร้านยาจีนราคาแพงมาก  โดยขายกันเป็นกรัมๆละ 100 ดอลลาร์หรือประมาณ 3,000 บาทขึ้นไป หากเทียบราคาเป็นกิโลกรัมเป็นเงินกว่า 3 ล้านบาท สูงกว่า เห็ดถั่งเช่าที่ว่าราคาแพงๆเสียอีก ซึ่งพบว่า เห็ดดังกล่าว เป็นเห็ดที่เกิดขึ้นในป่าเขตร้อนเช่น ประเทศไทย บ้านต้นไม้เนื้อแข็งบางชนิด ที่พบมากที่สุดก็คือ ไม้ตระกูล DIPTEROCARPACEAE เช่น ต้นแงะหรือต้นจิก Shorea obtusa Wall.ex Blume ต้นกระถินพิมานAcacia harmandiana (Pierre) Gagnep. ที่เกาหลีและญี่ปุ่นพบตามต้นหม่อน Morus alba L. เป็นเห็ดที่สังคมไทยให้ความสำคัญน้อยมาก ยกเว้น หมอพื้นบ้านทางภาคเหนือ และอิสานบางแห่งเท่านั้น ที่นำเอามาใช้เป็นยาในวงจำกัดมาก ส่วนใหญ่ มักจะนำเอาไปเป็นเชื้อเพลิงแทนฟืน เมื่อ ดร.อานนท์ กลับมาเมืองไทย ก็พบว่า จริงๆแล้ว เห็ดชนิดนี้ เป็นเห็ดที่มีอย่างชุกชุมในประเทศไทยที่น่าจะเป็นแหล่งที่อุดมที่สุดของโลก และก็มาสืบทราบว่า ด้วยความที่คนไทยยังไม่มีความรู้เกี่ยวกับเห็ดชนิดนี้ จึงเป็นเหตุให้นักธุรกิจข้ามชาติ ได้มากว้านเก็บรวบรวมเห็ดจากป่าของประเทศไทยไปจนเกือบหมดแล้ว โดยทยอยส่งออกไปขายในต่างประเทศในรูปของ ผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศ

ในช่วงต้นที่ ดร.อานนท์ ได้เปิดบริการรับปรึกษาเกี่ยวกับเห็ดผ่านทางเวปไซด์ www.anonbiotec.com ได้มีผู้ตั้งกระทู้ถามเรื่อง ประโยชน์ของเห็ดกระถินพิมาน และวิธีการนำมาใช้เป็นยา ซึ่ง ดร.อานนท์ ก็ได้ตอบคำถามตามหลักวิชาการไป และทำให้ทราบว่า บ้านเราเริ่มมีการศึกษาวิธีการเพาะเห็ดกระถินพิมานกันบ้างแล้ว พอดีเป็นช่วงที่งานพืชสวนโลกครั้งที่ 2 ที่จังหวัดเชียงใหม่จัดขึ้นเมื่อปลายปี 2554 โดยคณะกรรมการได้เชิญทางสถาบันอานนท์ไบโอเทคไปร่วมจัดแสดงเกี่ยวกับเห็ดเป็นยาในครั้งนี้ด้วย และก็ได้นำเอาตัวอย่างเห็ดไม้แงะ หรือเห็ดจิกหรือเห็ดกระถินพิมาน ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีให้ยืมตัวอย่างจากคุณสุพัฒน์ สวัสดิ์นที ไปโชว์ตลอดทั้งงาน ซึ่งในงานดังกล่าวพบว่า คนไทยส่วนใหญ่ไม่ค่อยให้ความสำคัญเท่าที่ควร ในทางตรงกันข้าม นักท่องเที่ยวจากต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จีน ไต้หวัน เกาหลีและญี่ปุ่น ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก และจุดนี้เอง ที่ทำให้ทราบว่า เห็ดชนิดนี้ คุณสง่า เอื้อตระกูลได้เก็บรวบรวมไว้ทั้งที่บ้านที่เชียงใหม่และที่แพร่ไว้จำนวนมากเป็นพันๆดอก หรือคิดเป็นน้ำหนักเป็นจำนวนหลายตัน บางดอก คุณสง่าเล่าให้ฟังว่า ถึงขนาดใช้ช้างลากข้ามเขาข้ามห้วยมานานหลายสัปดาห์ เพราะมีขนาดใหญ่และน้ำหนักมาก อาจจะใหญ่ที่สุดในโลกก็ว่าได้ โดยดอกที่มีขนาดใหญ่บางดอก มีเส้นผ่าศูนย์กลางกว่า 160 ซม. น้ำหนักกว่า 300 กก. จากจุดนี้เอง ที่ทำให้คุณสง่า ตัดสินใจ นำเอาเห็ดไม้แงะหรือเห็ดจิกหรือเห็ดกระถินพิมาน ที่เก็บไว้เป็นมรดกตกทอดของครอบครัวเอื้อตระกูล ที่เก็บรวบรวมสะสมไว้นานติดต่อกันเป็นเวลากว่า 40 ปี ไปเปิดตัวที่งานสมุนไพรแห่งชาติครั้งที่ 9 จัดโดยกระทรวงสาธารณสุข เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2555 พร้อมทั้งอนุญาตให้ ดร.อานนท์ เอื้อตระกูล เป็นผู้นำไปเผยแพร่ตามสื่อต่างๆจนเป็นที่ฮือฮากันจนปัจจุบัน เป็นที่โจษจันกันเรียกเห็ดนี้ว่า เห็ดสามล้าน

ซึ่งหากจะย้อนไปถึงอดีตเกี่ยวกับเห็ดไม้แงะหรือเห็ดจิกหรือเห็ดกระถินพิมานนั้น เป็นที่รู้จักกันมาหลายพันปีแล้วในจีน และญี่ปุ่น มีบันทึกไว้ในพงศาวดารจีนตั้งแต่ปฐมพระมหากษัตริย์จีนพระองค์แรก ชื่อ จิ๋นซีฮ่องเต้ ผู้ทรงมีพระปรีชาสามารถในการรวบรวมอาณาจักรน้อยใหญ่มาเป็นประเทศจีนที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล เป็นกษัตริย์ที่มีอำนาจสูงสุดและสร้างผลงานที่เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก คือ กำแพงเมืองจีน พระองค์สามารถสั่งการได้ทุกอย่างที่อยากได้ ยกเว้นสิ่งเดียวเท่านั้น ที่พระองค์กังวลที่สุดก็คือ ความตายที่ทุกคนหนีไม่พ้น ดังนั้น พระองค์จึงได้พยายามหาทุกวิถีทางที่จะทำให้มีชีวิตอยู่ยืนนานเป็นอมตะตลอดการได้ จึงได้สั่งการให้บรรดาหมอจากทั่วสารทิศ ให้ค้นหาตำรับตำราและสุดยอดสมุนไพร มาถวาย ซึ่งก็ยังไม่เป็นที่พอพทัยของพระองค์ท่านได้ จึงได้สั่งการให้แม่ทัพใหญ่ที่ชื่อ ฉีฝู (Xú Fú) ให้นำทัพไปทางตะวันออก เพื่อไปหาสุดยอดสมุนไพรที่เป็นยาอายุวัฒนะทำให้ชีวิตอมตะได้ตามคำแนะนำของหมอหลวงประจำราชสำนัก ซึ่งฉีฝูได้นำทัพไปนานพอสมควรจึงกลับมามือเปล่า เพราะไม่สามารถหาสมุนไพรดังกล่าวได้ ด้วยความที่พระองค์ท่านมีพระราชอำนาจล้นฟ้า หากข้าราชบริพารใด ไม่สามารถปฏิบัติตามพระประสงค์ได้ มักจะถูกประหารชีวิตทันที ซึ่งฉีฝูก็ตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น แต่ก่อนที่จะถูกนำไปประหารชีวิตนั้น ฉีฝูได้ขออนุญาตชี้แจงว่า สุดยอดสมุนไพรที่ต้องการมีอยู่จริง ในสถานที่ที่ลี้ลับและมีการป้องกันอันหฤโหด บนยอดเขาเผิงไหล(น่าจะเป็นยอดเขาฟูจิในปัจจุบัน) อยู่กลางทะเลไกลโพ้น ดังนั้นกำลังที่นำไปครั้งนั้นมีน้อยเกินไป ส่วนใหญ่จะเป็นทหารแก่และอาวุธไม่ดีพอ จึงขอพระราชทานชีวิตเพื่อจะไปเอาสุดยอดสมุนไพรนี้ให้จงได้ หากมีกำลังเพียงพอและอาวุธที่ดี จิ๋นซีฮ่องเต้ จึงยอมลดโทษประหารแล้วจัดไพร่พลอันประกอบด้วยทหารหนุ่ม 5,000 คน เรือสำเภา 60 ลำ ที่น่าแปลกที่สุด คือ ฉีฝูได้นำเอาเด็กๆชายหญิงไปด้วยกว่า 3,000 คน ยกกองทัพไปแบบยิ่งใหญ่ มุ่งทัพไปยังเกาะตะวันออก และก็ได้เจอสุดยอดสมุนไพรดังกล่าว ก็คือ เห็ดจ้าวหลินจือ หรือภาษาญี่ปุ่นเรียก เมชิมาตาเก๊ะ และก็รู้ดีว่า แม้ว่าจะเจอสุดยอดสมุนไพรแล้ว หากนำไปถวายก็จะต้องเจอโทษประหารชีวิตอยู่ดี ดังสุภาษิตที่ว่า เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกษาฆ่าขุนพล ฉีฝูจึงตั้งรกรากอยู่ที่เกาะแห่งนี้ ก็คือ ประเทศญี่ปุ่นปัจจุบัน โดยการยกทัพไปครั้งนี้ ฉีฝูได้นำเอาตำรับตำราการทำการเกษตร ยาสมุนไพร การทอผ้าไหม ไปด้วย ทำให้ฉีฝูกลายเป็นเทพที่สำคัญที่คนญี่ปุ่นเคารพนับถือสืบทอดกันมาถึงปัจจุบัน จึงไม่แปลกใจว่า ญี่ปุ่นเป็นผู้นำการวิจัยเรื่องเห็ดเป็นยา และเห็ดเมชิมาตาเก๊ะหรือเห็ดต้นแงะ กลายเป็นเห็ดพระเอกที่ใช้เป็นส่วนสำคัญในการผลิตยารักษาโรคมนุษย์ที่สำคัญ เช่นเดียวกันกับประเทศเกาหลีใต้ ทางรัฐบาลเกาหลีใต้ให้ความสำคัญในการศึกษาเห็ดชนิดนี้ในระดับชาติ และเป็นเห็ดชนิดเดียวเท่านั้น ที่ทางราชการอนุญาตให้ใช้เป็นยารักษาโรคเรื้อรังหลายชนิดแก่มนุษย์อย่างถูกต้องตามกฎหมาย และกลายเป็นสินค้าที่สำคัญในการส่งออก ทั้งในรูปของยารักษาโรคและส่วนประกอบที่สำคัญในส่วนผสมของเครื่องสำอางอีกด้วย

ส่วนการเพาะเลี้ยงนั้น ดร.อานนท์ เอื้อตระกูล  ก็สามารถทำการเพาะเลี้ยงได้แล้ว และการเลี้ยงเอาเส้นใยของมันนั้น ใช้เวลาเร็วมาก ทั้งการเลี้ยงในอาหารวุ้นและอาหารเหลว โดยใช้เวลาแค่เดือนเดียวเท่านั้น  ซึ่งจะมีสรรพคุณทางยาสูงกว่า ของธรรมชาติเสียอีก การทำการเพาะเพื่อผลิตทั้งเส้นใย ดอกเห็ด และแปรรูปผลิตภัณฑ์จากเห็ดต้นแงะหรือเห็ดกระถินพิมานนั้น สถาบันอานนท์ไบโอเทค เตรียมการที่จะทำเป็นแหล่งความรู้ในอุทยานเห็ดนานาชาติอานนท์เวิลด์ในอนาคต ที่บ้านเพนียด อำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรีต่อไป

สาระที่ ดร.อานนท์ เอื้อตระกูล ได้ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องเห็ดกระถินพิมานนั้น เพื่อเป็นการย้ำว่า เห็ดนี้ เคยมีอยู่ชุกชุมในประเทศไทย ทางอีสานและทางเหนือ โดยส่วนใหญ่มันจะขึ้นตามต้นเค็ง ต้นกระถินพิมาน แต่ก็มิได้ หมายความว่า เห็ดที่ขึ้นกับต้นไม้สองชนิดนี้ จะเป็นเห็ดกระถินพิมานทั้งหมด โดยปกติ เห็ดกระถินพิมานจะเจริญเติบโตช้ามาก ดอกใหญ่ขนาดฝ่ามือ อาจใช้เวลาในการเจริญเติบโตนานนับสิบปี หากดอกใหญ่ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเป็นฟุตแล้วล่ะก็ อาจจะมีอายุนานนับร้อยปี ดังนั้น หากเป็นเห็ดที่โตไวๆ แค่ไม่กี่เดือนก็ดอกโตแล้ว ส่วนใหญ่เป็นเห็ดหิ้ง เห็ดกระด้าง ซึ่งจะอยู่ในตระกูลเห็ดหลินจือ Ganoderma spp. แต่ไม่ใช่เห็ดกระถินพิมานที่อยู่ในตระกูล Phellinus spp. อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่มันแข็งมาก ทานไม่ได้ เพราะมันแข็งเหมือนไม้ และนักวิชาการไทย ก็ไม่มีความรู้ว่ามันมีคุณสมบัติเป็นยา ดังนั้น คนไทยที่พบเห็นเห็ดกระถินพิมาน มักจะไม่สนใจ บางคนอาจจะเอามาทำเป็นเชื้อเพลิง  แต่ต่างประเทศแล้ว เขาศึกษาเรื่องนี้กันเยอะ เขารู้ว่า เห็ดชนิดนี้ มีคุณสมบัติทางยาดีมาก ทำให้มีชาวต่างชาติได้มาจ้างชาวบ้าน เก็บเห็ดเหล่านี้จากธรรมชาติ แล้วลักลอบเอาไปขายในต่างประเทศ  ซึ่งราคา ที่ ดร.อานนท์ เอื้อตระกูล  กล่าวนั้น เป็นราคาเปรียบเทียบที่บริษัทผลิตยาในอเมริกา รับซื้อขายกันมากว่าเกือบสิบปีแล้ว  มันเป็นเรื่องของขบวนการค้าพวกนี้ คงไปยุ่งไปเกี่ยวเขาไม่ได้ เพราะเขาเป็นขบวนการที่ยิ่งใหญ่ เป็นขบวนการที่เขามีเงิน

ตรงนี้ต่างหาก ที่ ดร.อานนท์  เอื้อตระกูล ต้องการจะปลุกจิตสำนึกให้แก่คนไทยทั้งชาติว่า เราจะให้ชาวต่างชาติ ขนเอาทรัพยากรธรรมชาติในประเทศเช่น เห็ดกระถินพิมาน ออกไปจากประเทศไทย เอาไปจดทะเบียน เอาไปขายในราคาแพงๆกันอีกต่อไปหรือ ทำไมผู้ที่ได้รับข่าวรับคราวเรื่องราคา ทั้งที่มันเป็นราคาของบริษัทที่ต่างประเทศ  ถึงรีบร้อน ไปเก็บเอาของที่มีค่ายิ่งมาจากธรรมชาติ  ทำไมไม่ช่วยรักษาเอาไว้ในธรรมชาติ เพราะมันเป็นของดี ของมีค่า ที่สักวัน คนไทยจะได้รู้ถึงคุณประโยชน์ของมัน  อย่าลืมว่า เห็ดกระถินพิมาน ไม่เหมือนเห็ดทั่วๆไป มันเจริญเติบโตช้ามาก ดอกขนาดเท่าฝ่ามือ อายุอาจจะนานกว่า 20-30 ปี หากมันยังอยู่กับแหล่งเดิมของมัน  มันเป็นของหายาก ในประเทศไทย ยังไม่มีใครซื้อใครขายกันเสียเท่าไร  จึงขอวิงวอนต่อทุกฝ่าย ให้ช่วยกันรักษาและอนุรักษ์เห็ดกระถินพิมานเอาไว้ เพื่อเป็นการปกป้องและรักษาสมดุลตามธรรมชาติบนผืนแผ่นดินไทย