เอ็นไซม์ ตอนที่ 8

ดร.อานนท์ เอื้อตระกูล

Sun Nov 21, 2010 1:19 pm

เอ็นไซม์ที่ทำให้ผิวพรรณที่อ่อนเยาว์ตลอดไป(ชะลอความแก่)

การที่เราอายุมากขึ้น ร่างกายจะสามารถผลิตเอ็นไซม์ได้น้อยลง มีผลให้เอ็นไซม์ในร่างกายมีปริมาณลดลงตามอายุที่เพิ่มขึ้น และเริ่มมีผลทำให้เกิดโรคต่างๆตามมา นักวิจัยแห่งโรงพยาบาลไมเคิล รีส พบว่า คนที่มีอายุมากจะมีเอ็นไซม์สำหรับย่อยแป้ง(อะไมเลส)ในน้ำลายน้อยกว่าคนที่มีอายุน้อย

ดร.เอ็ดเวิร์ด โฮเวล พบว่า ยิ่งท่านใช้เอ็นไซม์ที่ผลิตในร่างกายเร็วเท่าใด ท่านจะใช้เอ็นไซม์ที่สะสมอยู่หมดไปเร็วเท่านั้นเมื่อเราทานอาหารที่ปรุงสุกแล้ว อาหารจะปราศจากเอ็นไซม์ ทำให้ร่างกายต้องผลิตเอ็นไซม์ในกระบวนการย่อยอาหารทั้งหมด ร่างกายจะสูญเสียเอ็นไซม์สะสมที่มีในปริมาณจำกัด และเราเชื่อว่าเป็นหนึ่งในหลายสาเหตุ ที่สำคัญของความแก่และการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรนั่นเอง

ดร.เม็ทชนิคอฟ กล่าวว่า ชาวชนบทบัลแกเรียมีอายุยืนยาว เนื่องจากเอ็นไซม์ในร่างกายถูกนำไปอย่างช้าๆ ในระหว่างการดำเนินชีวิต เพราะว่าอาหารส่วนใหญ่จะประกอบด้วยนมสดหมักให้กลายเป็นนมเปรี้ยว และอาหารที่ยังไม่ผ่านการปรุงให้สุกอีกหลายชนิด ดังนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียเอ็นไซม์ก่อนเวลาที่กำหนด เราอาจบริโภคอาหารสดทุกวัน และเสริมด้วยเอ็นไซม์ที่ช่วยการย่อยอาหาร

หรืออาจจะกล่าวอีกอย่างหนึ่งได้ว่า การผลักดันให้ร่างกายผลิตเอ็นไซม์สำหรับกระบวนการย่อยอาหาร จะจำกัดความสามารถของร่างกายในการผลิตเอ็นไซม์ ที่ต้องใช้ในการเสริมสร้างและซ่อมแซมร่างกายในการผลิตเอ็นไซม์ ที่ต้องใช้ในการเสริมสร้างและซ่อมแซมร่างกาย การบริโภคเอ็นไซม์เป็นอาหารเสริมร่วมกับอาหาร ไม่เพียงแต่ช่วยการย่อยอาหารเท่านั้น ยังช่วยในการเสริมสร้าง ซ่อมแซม และยังทำให้ดูเป็นหนุ่มเป็นสาว มีความกระชุ่มกระชวย ที่สำคัญคือ ช่วยในด้านประสิทธิภาพการทำงานของเอ็นไซม์อีกด้วย

เราต่างมีความภูมิใจเมื่อผิวของเราเนียนใส กระจ่าง แต่ในทางกลับกันเราจะไม่มั่นใจเมื่อผิวแห้งแตก ซีด เหี่ยวย่นและไม่มีชีวิตชีวา ดังนั้น ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในการสร้างเซลล์ใหม่ของผิวหนัง จึงดึงดูดใจพวกเรานัก ที่แปลกคือ เอ็นไซม์มักถูกมองข้ามในการแก้ปัญหาเกี่ยวกับผิวหนังเสมอ ทั้งๆที่มีบทบาทสำคัญในการคงสภาพและดูแลผิวของเรา

เอ็นไซม์เกี่ยวข้องโดยตรงกับสุขภาพ และลักษณะของผิวหนังของเรา พวกมันเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาการทำงานในการย่อยอาหาร ให้สมบูรณ์ทำให้ได้สารอาหารต่างๆมาเสริม สร้างผิวพรรณให้สดใส เอ็นไซม์เป็นแหล่งพลังงานที่อยู่เบื้องหลังการไหลเวียนของสารอาหารต่างๆ ที่ส่งไปให้ผิวหนังอย่างมีประสิทธิภาพ เอ็นไซม์เป็นตัวช่วยลดอาหารที่ปรากฏทางผิวหนัง เป็นผลจากขบวนการกำจัดพิษของร่างกาย เอ็นไซม์ชะลอขบวนการแก่ จะเห็นได้ชัดเจนจากผิวหนังที่เหี่ยวย่น ในบทนี้ เราจะอธิบายถึง เอ็นไซม์จะชะลอความแก่ได้อย่างไร ท่านจะทราบว่าเอ็นไซม์บำบัด สามารถเสริมการดูแลผิวพรรณของท่านได้อย่างไร

บำรุงจากภายใน

ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ความงามต่างทราบดีว่า ชาวอเมริกันหลงใหลในการทำให้ดูอ่อนเยาว์และรักษาผิวพรรณให้ดูดี มีสุขภาพ จึงได้ผลิตครีมโลชั่น เจล แผ่นต่างๆ จนถึงขี้ผึ้ง สำหรับดูแลผิวแต่ละประเภท ตลอดจนแก้ปัญหาต่างๆ ของผิวพรรณ ยี่ห้อที่มีชื่อเสียง ทำราคาโลชั่นที่ทำให้ดูอ่อนวัยได้ถึง 75 ดอลลาร์ต่อ 1 ออนซ์ แท้ที่จริงแล้วความอ่อนวัย เกิดมาจากขบวนการภายในร่างกาย ไม่ใช่การชะโลมทาเพียงเปลือกนอก

สุขภาพและลักษณะของผิวหนังจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับสารอาหารในกระแสเลือด ผิวหนังชั้นในหรือที่เรียกว่า หนังแท้ สร้างมาจากคอลลาเจน (โปรตีน) คอลลาเจนจะดึงสารอาหารที่ต้องการมาจากเลือด ส่วนผิวหนังชั้นนอกหรือหนังกำพร้า จะไม่ได้รับการบำรุงจากภายใน มันจะตายไปและหลุดลอกออกอย่างต่อเนื่อง ทำให้เซลล์ผิวหนังใหม่ ในชั้นหนังแท้ออกมาสู่ชั้นนอกสุด สิ่งนี้จะก่อให้เกิดกระบวนการผลัดเปลี่ยนอย่างต่อเนื่อง นำเซลล์ในที่ได้รับอาหารเต็มที่ขึ้นมาแทน นั่นคือ สาเหตุที่ทำให้เอ็นไซม์มีบทบาทสำคัญในการรักษาสภาพผิวหนังที่แข็งแรงเอาไว้ โดยทำให้มีสารอาหารไปบำรุงผิวหนังได้

เอ็นไซม์ย่อยอาหาร

ผิวหนังต้องการไขมัน โปรตีน และคาร์โบไฮเดรต เพื่อให้ผิวหนังแข็งแรงและมีความยึดหยุ่น ถ้าระบบการย่อยอาหารขาดเอ็นไซม์ สารอาหารเหล่านี้จะคงค้างอยู่ในอาหารที่รับประทานเข้าไป แล้วถูกขับออกโดยที่ไม่ผ่านการย่อย ทำให้ผิวหนังจะขาดการบำรุง อ่อนแอ และเกิดโรคผิวหนังได้ง่าย

ภาวะพร่องเอ็นไซม์ย่อยอาหาร

คนเราส่วนใหญ่เข้าใจไปว่า ทุกวันนี้ได้รับอาหารที่เต็มไปด้วยเอ็นไซม์ธรรมชาติ อีกทั้งระบบย่อยอาหาร ก็หลั่งเอ็นไซม์เพื่อย่อยอาหารได้สารอาหารต่างๆมาใช้พอเพียง และอาหารเพื่อสุขภาพหลายชนิด ก็มีเอ็นไซม์อยู่แล้วแต่เหตุใดสภาพของผิวหนังของอีกหลายคนจึงบ่งชี้ว่าขาดเอ็นไซม์ ประการแรกก็เพราะว่า เอ็นไซม์ในอาหารเป็นเอ็นไซม์ที่เสียสภาพได้ง่าย การปรุงอาหารด้วยอุณหภูมิที่สูงกว่า 45 องศาเซลเซียสก็จะทำลายเอ็นไซม์ทั้งหมดเสียแล้ว และอาหารสมัยใหม่ ส่วนใหญ่ก็เป็นอาหารปรุงสุกผ่านกระบวนการต่างๆ ทั้งสิ้น จึงทำให้กลายเป็นอาหารที่ปราศจากเอ็นไซม์อย่างแน่นอน ประการที่สอง ไม่เพียงแต่อาหารหลายชนิดจะขาดเอ็นไซม์อย่างแน่นอน แต่ยังมีผลไปทำลายเอ็นไซม์ต่างๆที่มีอยู่แล้วในระบบทางเดินอาหารอีกด้วย เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ น้ำตาล และกาเฟอีน

โปรแกรมทางพันธุกรรมของเรา ที่กำหนดรูปลักษณ์ของร่างกาย ก็มีส่วนกำหนดความสามารถในการย่อยอาหารด้วยคือ ร่างกายแบบซุปปราจะย่อยโปรตีนได้ไม่ดี ร่างกายแบบพารา จะมีปัญหาเกี่ยวกับการย่อยคาร์โบไฮเดรต รวมไปถึงผัก ผลไม้และแป้ง ร่างกายแบบเอโตรจะย่อยอาหารที่มีไขมันสูงได้ไม่ดี ส่วนร่างกายแบบนิวโร จะมีปัญหาเกี่ยวกับการย่อยนมและอาหารที่ทำจากนม รวมทั้งอาหารพวกคาร์โบไฮเดรตแทบทุกชนิด

เมื่อร่างกายเราขาดเอ็นไซม์ ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตาม ท่านจะสังเกตได้จากผิวหนัง โดยเฉพาะการขาดเอ็นไซม์โปรตีเอส จะเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น ทั้งนี้เนื่องจาก ผิวหนังต้องได้รับสารโปรตีนเป็นหลัก เอ็นไซม์ชนิดนี้ จะทำหน้าที่ย่อยสลายโปรตีน ดังนั้น หากขาดเอ็นไซม์โปรตีเอส ผิวหนังย่อมขาดอาหารอย่างแน่นอน

อาการที่ปรากฏให้เห็น

การได้รับเอ็นไซม์ย่อยอาหารที่พอเหมาะ จะช่วยให้ผิวหนังดูดี พลังในการซ่อมแซมและบำรุงของเอ็นไซม์จะชัดเจนที่สุดในผู้ที่เป็นโรคผิวหนัง

ตัวอย่างในการรักษาผิวด้วยเอ็นไซม์ที่เด่นชัดอันหนึ่ง ตอนเด็กเป็นโรคเรื้อนกวาง มีผื่นแดงทั่วตัว โดยเฉพาะตามแขนพับ ขาพับ ตา และปาก หลายครั้งที่แผลเฟะและเจ็บปวดมากจนต้องอยู่บ้านแทนที่จะไปโรงเรียน หมอสั่งให้พ่อและแม่ห่อตัวไว้ด้วยผ้าที่โชกยา เด็กมักนอนร้องไห้บนเตียงในขณะที่ใส่ชุดมัมมี่ อาการผืนแดงเป็นแบบมีหนองไหลออกมา เมื่อเกาที่แผลหรือเมื่อแผลแห้งแตก จะทำให้มีหนองไหลออกมา ทำให้แผลขยายวงออกไปอีก ไม่สามารถบอกได้ถึงความยากลำบากเพียงใด หรือรู้สึกอายเพียงใดระหว่างที่เป็นโรคอันทุกข์ทรมานนั้นหลายปี

พอโตขึ้นอาการก็ทุเลาลง แต่ไม่เคยปราศจากจากแผลและสะเก็ดแผลเลย เมื่อใดก็ตามที่เครียด อาการจะเริ่มที่หัวตา ปากและที่ข้อพับแขน ก็ยิ่งทำให้เครียดและไม่สบายตัว ทำให้อายจนต้องยกเลิกนัดต่าง วนเวียนอยู่เช่นนี้

ต่อมาเริ่มเรียนรู้ผลของการรักษาผิวหนังด้วยเอ็นไซม์ จึงเริ่มด้วยการเสริมเอ็นไซม์หลายชนิดประกอบด้วย โปรตีเอส ไลเปส เซลลูเลส และอไมเลส โดยทานเอ็นไซม์เหล่านั้นไปพร้อมกับอาหารหลักทั้ง 3 มื้อ และทานโปรตีเอสในปริมาณที่สูงในระหว่างมื้ออาหารและในขณะท้องว่างอีกด้วย การบำบัดตนเองอย่างต่อเนื่อง จวบจนทุกวันนี้และไม่มีอาการทางผิวหนังที่เป็นโรคประจำตัวมานานกว่า 40 ปี

การขับสารพิษ

ร่างกายใช้ไต ลำไส้ใหญ่ ปอดและผิวหนังเป็นแหล่งล้างพิษ หากเรามีปัญหาเกี่ยวกับการถ่ายปัสสาวะหรือดื่มน้ำน้อยเกินไป จะทำให้ไตกำจัดพิษได้ไม่สมบูรณ์ ปัญหาเดียวกันนี้ก็เกิดขึ้นที่ลำไส้ใหญ่ เมื่อเราต้องทรมานกับอาการท้องผูกหรืออาการท้องเสีย ปอดก็ไม่สามารถขับพิษออกได้ หากเราสูบบุหรี่หรือหายใจเอามลพิษเข้าไป แล้วเหลืออะไรล่ะทีนี้? ผิวหนังของเราก็ต้องทำหน้าที่ในการขับพิษแทน โดยจะแสดงอาการในรูปแบบที่สังเกตได้ชัดเจนเช่น สิว ผลตกสะเก็ด โรคผิวหนังเรื้อรัง สิวหัวดำและเซลลูไลท์

การต้านอนุมูลอิสระ

นอกจากร่างกายจะมีขบวนการกำจัดอนุมูลอิสระตามธรรมชาติแล้ว ยังมีการล้างพิษของอนุมูลอิสระอย่างต่อเนื่อง อนุมูลอิสระสามารถกระจายไปทุกส่วนของร่างกาย ร่างกายก็ตามกำจัดทำลายอยู่ทุกวันไปไม่มีวันหมด มลพิษที่เราหายใจเจ้าไป ฮอร์โมนหรือยาปฏิชีวนะตกค้างในอาหารที่เรากินเข้าไป ยาฆ่าแมลงที่มีอยู่ในผลไม้และผักต่างๆ เชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา พยาธิต่างๆ เป็นสารพิษเพียงไม่กี่ชนิดที่ต้องถูกขับออกจากระบบร่างกายของเรา

ไม่มีสารต้านอนุมูลอิสระใด มีประสิทธิภาพดีไปกว่าเอ็นไซม์โปรตีเอส เอ็นไซม์จะดูดซับอนุมูลอิสระก่อนที่อนุมูลอิสระจะทำร้ายร่างกาย ซากเซลล์ที่เกิดจากการต่อสู้กับเชื้อโรค จะถูกย่อยโดยโปรตีเอส เอ็นไซม์นี้สามารถจัดการผนังเซลล์ที่ถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระ และยังสามารถเข้าไปในศูนย์กลางเซลล์และช่วยซ่อมแซมดีเอ็นเอที่ถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระอีกด้วย

การมีอยู่ตลอดของเอ็นไซม์ จะลดอันตรายของสารพิษต่อผิวหนังได้เอ็นไซม์สามารถซ่อมแซมได้ แม้กระทั่งเซลล์ที่เสียหายจากการทำลายของอนุมูลอิสระ เอ็นไซม์เป็นสิ่งเดียวในร่างกาย ที่สามารถซ่อมแซมเซลล์ที่ถูกทำลาย โดยการส่งออกซิเจนและสารอาหารที่เสริมความแข็งแกร่งให้แก่เซลล์

สัญญาณแห่งความเสียหาย

ผลกระทบของสารพิษที่มีต่อผิวหนังเรา สามารถสังเกตได้อย่างชัดเจน การย่อยอาหารที่ไม่สมบูรณ์และผลเสียของอนุมูลอิสระ ทำให้เกิดความผิดปกติของผิวหนังได้ทุกรูปแบบในผู้ใหญ่ แนวทางการรักษาคือ การใช้เอ็นไซม์บำบัดหลายชนิด เอ็นไซม์หลักต่างๆ ทำงานร่วมกันในตำแหน่งที่ผิวหนังมีปัญหาอยู่ ไม่ว่าจะเป็นแผลพุพอง แผลเป็น หรือสะเก็ดแผล เอ็นไซม์โปรตีเอส ไลเปสและอะไมเลส เมื่อนำมารวมกัน จะสามารถย่อยสลายและลดปฏิกิริยาความเป็นพิษได้ ทำให้สามารถรักษาความผิดปกติของผิวหนังได้ดังนี้

สิวการย่อยสลายไขมันไม่ดี

แผลพุพองการย่อยสลายน้ำตาลไม่ดี

แผลพุพองเรื้อรัง (โรคเรื้อนกวาง)- การย่อยสลายโปรตีนไม่ได้

สิวและสิวหัวดำสารพิษ

Lyplomas-ไขมันที่เหม็นหืน

เซลลูไลท์สารพิษที่จับอยู่กับไขมัน

ผิวหนังขาดความยืดหยุ่น เหี่ยวย่นการย่อยสลายสารทุกกลุ่มไม่ดี

นอกจากนี้ลมพิษและผื่นคันเกือบทุกชนิด จะตอบสนองต่อการใช้เอ็นไซม์บำบัดได้ดี

การสิ้นสุดของภาวะเรื้อรัง

หญิงวัย 30 ปี มีอาการแผลพุพองเรื้อรังไม่รุนแรง ปรากฏตามมือ แขน และเท้า เนื่องจากเธอมีอาชีพพยาบาล ต้องล้างมือบ่อยครั้งในระหว่างวัน ทำให้การดำเนินชีวิตของเธอในแต่ละวันมีความลำบากมาก เธอได้ลองรักษาตามวิธีที่นิยมกันหลายแบบ เช่น ยาทาผิวหนัง ยาสเตียรอยด์และแม้แต่การเปลี่ยนแนวทางการรับประทานอาหาร แต่ก็ไม่มีวิธีใดเลย ที่จะช่วยแก้ ปัญหาอาการคัน ผิวหนังตกสะเก็ดได้อย่างแท้จริง

จึงได้มีการแนะนำให้ใช้เอ็นไซม์บำบัด เหมือนกับที่ได้เคยใช้กับเด็ก ที่เคยมีปัญหาเกี่ยวกับโรคเรื้อนกวาง เธอใช้เอ็นไซม์รวมในอาหารแต่ละมื้อ และใช้โปรตีเอสปริมาณสูงระหว่างมื้ออาหารในช่วงช่วงท้องว่าง หลังจากบำบัดได้ 3 วัน เธอรู้สึกได้ถึงผลของเอนไซม์นั่นคือ เธอมีกำลังเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เธอสังเกตว่าอาการท้องอึด และการเรอของเธอหายไป หลังจาก 1 สัปดาห์ ผิวหนังของเธอดีขึ้น สะเก็ดแผลเริ่มหายไป และสีผิวของเธอดูดีขึ้น ลักษณะโดยรวมของผิวหนังดูสุขภาพดีและยึดหยุ่น จากนั้นอีก 21 วัน อาการของโรคผิวหนังเรื้อรังที่แพทย์เคยบอกกับเธอว่า จะเป็นตลอดชีวิตได้หายไป เธอยังคงใช้เอ็นไซม์สูตรเดิม และปัญหาผิวหนังของเธอหายขาดไปแล้ว

ผิวพรรณที่คงความอ่อนเยาว์

ผิวหนังของท่านดูอ่อนกว่าวัยเท่าใด ท่านสามารถทดสอบได้จากการใช้มือกดที่ผิวหนังบริเวณหลังมือที่อยู่ระหว่างนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้สักประมาณ 5 วินาที แล้วจับเวลาดูว่า ผิวหนังของท่านกลับคืนสภาพปกติในเวลาเท่าใด หากใช้เวลาเพียง 5 วินาทีหรือน้อยกว่านั้นหมายถึง อายุทางชีวภาพของผิวหนังของท่านคือ น้อยกว่า 50 ปี แต่หากว่ากลับคืนสภาพเดิมในช่วง 10-15 วินาทีแสดงอายุน่าจะอยู่ในช่วง 60-69 ปี และหากใช้เวลาตั้งแต่ 15 วินาทีขึ้นไปบอกได้ว่าอายุทางชีวภาพของผิวหนังของท่านมีอายุถึง 70 ปีขึ้นไป นี่เป็นสิ่งที่สะท้อนถึงความเหี่ยวย่นของผิวหนัง ที่เราได้รับจากการที่เนื้อเยื่อใต้ชั้นผิวหนังเสื่อมลงไป

งานวิจัยหลายฉบับได้กล่าวถึงผิวหนังที่แก่ตัวลงว่า มักจะเกิดจากการขาดโปรตีนและมีระบบไหลเวียนที่ไม่ดี ความบกพร่องดังกล่าว ทำให้เกิดการแข็งตัวของเนื้อเยื่อ กล้ามเนื้อ เส้นใยประสาทและหลอดเลือด โดยจะเกิดการหย่อนยานของกล้ามเนื้อ และผิวหนังไม่ยืดหยุ่น ทำให้กล้ามเนื้อล้าและอ่อนแอ อย่างไรก็ตามเราพบว่า กระบวนการเสื่อมเหล่านี้จะช้าลงและในบางรายสามารถคืนสู่ปกติได้โดยการใช้เอ็นไซม์บำบัด

ความสัมพันธ์ของโปรตีน

โปรตีนชนิดพิเศษที่ได้มาจากโปรตีเอส จะช่วยให้เกิดการรวมตัวกันของเนื้อเยื่อ และก่อให้เกิดความยืดหยุ่นของผิวหนัง การเชื่อมโยงระหว่างเส้นใยอีลาสติน ที่เป็นเส้นใยโปรตีนสีเหลือง ที่จะประกอบกันเป็นเนื้อเยื่อเกี่ยวพันนั้น ประกอบกับคอลลาเจนในชั้นของผิวหนัง จะช่วยให้ผิวหนังเนียนและนุ่ม อย่างไรก็ตาม ยิ่งเราอายุมากขึ้นเท่าใด ระบบการเชื่อมโยงดังกล่าวจะกระด้างขึ้น กระบวนการแก่ตัวลง จะถูกยับยั้งได้ก็ต่อเมื่อ มีการขนส่งเอ็นไซม์สู่ผิวหนังอย่างเพียงพอ เพื่อนำส่งออกซิเจนในปริมาณมาก ช่วยทำให้เซลล์เต่งอูมและเพื่อให้ผิวหนังชั้นในที่เกิดขึ้นใหม่เป็นผิวหนังที่มีสุขภาพดี

เซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกายมีลักษณะคล้ายฟองน้ำ เซลล์และเนื้อเยื่อเหล่านี้ ย่อมต้องการสารให้ความชุ่มชื้นที่นำส่งโดยโปรตีเอส เพื่อให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อเซลล์ต่างๆในร่างกายขาดโปรตีเอส พวกมันจะขาดสารอาหาร และจะทำให้เซลล์เหี่ยวลงหรือตายไปเนื่องจากได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ลักษณะคล้ายฟองน้ำที่เคยเป็นก็จะหายไป เซลล์ต่าง จะดูดซึมโปรตีนที่จำเป็นได้ลดลง ผนังเซลล์จะแตกแห้ง หดตัว ในเหตุการณ์ดังกล่าวจะทำให้เกิดการแก่ขึ้นได้

การไหลเวียนของกระแสโลหิตที่มีประสิทธิภาพ

ระบบการไหลเวียนมีบทบาทสำคัญต่อความแก่ ระบบที่ไม่ดี ทำให้การนำสารอาหารที่สำคัญไปสู่ผิวหนังได้ช้าลง เลือดก็จะขนส่งสารอาหารสำคัญได้น้อย ทำให้ผิวหนังไม่สามารถมีสุขภาพดีได้ ดังนั้น สิ่งที่จะช่วยได้ก็คือ เอ็นไซม์ เราสามารถยืนยันได้ว่า เอ็นไซม์เหล่านี้คือ สารที่ช่วยในการย่อยแล้วทำให้ได้สารอาหารมาส่งผ่านทางเลือดนำไปสู่ทุกเซลล์ในร่างกาย เอ็นไซม์ไลเปสจะช่วยย่อยให้เกล็ดเลือดหลุดออกมาจากการสะสมตัวตามผนังหลอดเลือดนั้น จะนำไปสู่การขนส่งสารอาหารและออกซิเจนกลับสู่ภาวะปกติได้ โปรตีเอสจะช่วยการไหลเวียนของเลือด โดยจะทำลายเม็ดเลือดแดงที่เกาะกลุ่มกัน จากการวิเคราะห์เลือดทางจุลทรรศน์ เราจะเห็นได้ว่า หลังจากทานโปรตีเอสเพียงหนึ่งเม็ดในเวลา 10 นาที จะช่วยให้ลิ่มเลือดสลายออก แล้วทำให้การไหลเวียนของเลือดปกติได้ เนื่องจากร่างกายของเราประกอบไปด้วยโปรตีน โดยโปรตีเอสจะช่วยส่งอาหารและเสริมสร้างเซลล์เม็ดเลือดต่างๆ ทำให้มีเซลล์เม็ดเลือดมีความแข็งแรงสามารถขนส่งสารอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เนื่องจากผิวหนังเป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดในร่างกาย จึงเป็นสิ่งที่แสดงถึงระบบการไหลเวียนของกระแสโลหิตที่มีเอ็นไซม์อยู่มากเป็นอย่างแรก นั่นคือ ผิวหนังเป็นส่วนที่ใช้ออกซิเจนมาก หากได้รับสารอาหารที่มีคุณภาพดี ผิวหนังก็จะมีลักษณะเนียนแน่น และใสกระจ่างอยู่เสมอ

ผิวที่อ่อนเยาว์ตอนอายุ 60

คาร์ลอายุ 60 ปี เหงือกของเขามีเลือดออกและฟันหน้าของเขาคลอน เขามีความหวังอย่างมากว่า การใช้เอนไซม์ปริมาณสูง จะช่วยรักษาเหงือกบวม เหงือกอักเสบ และช่วยรักษาฟันของเขาเอาไว้ได้

เพียงไม่นาน คาร์ลสังเกตเห็นโบนัสพิเศษจากการเสริมอาหารด้วยเอนไซม์ทุกวัน ทำให้เข้าดูหนุ่มขึ้นถึง 20 ปี ผิวหนังของเขาดูเนียนเรียบและนุ่ม ปราศจากความเหี่ยวย่นและแข็งกระด้าง แม้กระทั่งสีผิว ก็ยังดูอ่อนวัยลงด้วย ผู้คนต่างบอกกับเขาว่า เขาดูดีมาก ทุกคนต้องการที่จะรู้ถึงความลับของเขาผมขอเก็บเป็นความลับนะเขาหัวเราะออกมาแต่ก็ไม่มีใครเชื่อผมเมื่อผมบอกพวกเขาว่า ผมได้รับความเป็นหนุ่มสาวจากเอ็นไซน์

เอ็นไซม์บำบัดเพื่อผิวพรรณ

เพื่อบำรุงผิว การล้างพิษ และชะลอความแก่ของผิวหนัง ท่านต้องใช้เอ็นไซม์บำบัดไปตลอดชีวิต

อาหารสำหรับผิวพรรณ

วิธีที่จะได้รับสารอาหารที่สำคัญคือ การรับประทานสด เราจึงแนะนำให้เพิ่มการรับประทานอาหารที่มีโปรตีนจากสัตว์เป็นๆ และพืชสดมาก ทั้งนี้รวมไปถึง :

ข้าวซ้อมมือ เมล็ดพืชต่าง เมล็ดข้าว ลูกเดือย ข้าวฟ่าง ถั่วเหลือง

ถั่วต่าง จมูกข้าวสาลี

ผักและผลไม้ที่สด จะมีเอ็นไซม์อยู่เป็นสิ่งที่ดีต่อผิวหนัง เนื่องจากโปรตีเอสเป็นเอ็นไซม์ที่มีความจำเป็นที่สุดต่อสุขภาพผิวที่ดี ท่านจึงควรรับการเสริมอาหารด้วยเอ็นไซม์ นอกจากนี้ เพื่อที่จะได้รับผลประโยชน์สูงสุดของผลจากเอ็นไซม์ที่มีต่อผิวหนัง จึงควรจะเสริมเอ็นไซม์อีก 3 ชนิดในโปรแกรม ด้วยการให้ร่างกายได้รับไลเปส จะช่วยในด้านการย่อยสลายไขมันต่างๆ ท่านจะไม่มีทางได้รับกรดไขมันของร่างกาย โดยปราศจากความสมดุลย์ของปริมาณไลเปสในร่างกาย การรับเซลลูเลสมีจำเป็นในการสลายเส้นใย แล้วกำจัดกากออกจากลำไส้เล็ก การเพิ่มเอ็นไซม์อะไมเลส จะช่วยในการย่อยคาร์โบไฮเดรตและลดการอักเสบของผิวหนัง ท่านจะพบเอ็นไซม์เหล่านี้ได้จากสัตว์เป็นๆ ส่วนผัก ผลไม้สดและเมล็ดธัญพืช จะสนับสนุนระบบย่อยอาหารด้วยปริมาณเอ็นไซม์เพียงเล็กน้อย เทียบจากที่ต้องใช้ในการคงสภาพผิวหนังให้แข็งแรง

การให้เอ็นไซม์เสริม

เป็นที่น่าเสียดายว่าอาหารที่รับประทานสด หรือดิบได้ มีโปรตีนอยู่น้อยมากหรือไม่มีเลย จึงยากมากที่จะรับประทานอาหารสดในแต่ละวัน เพื่อให้ระบบการย่อยอาหารแข็งแรงได้ นอกจากการย่อยอาหารปกติแล้ว เรายังต้องการเก็บรักษาโปรตีเอสไว้เพื่อบำรุงรักษา ดังนั้นเราจึงเชื่อว่า การใช้เอ็นไซม์เป็นสิ่งสำคัญมาก สำหรับทุกคนที่ต้องการมีผิวหนังสุขภาพดี เมื่อท่านต้องการเสริมอาหารด้วยเอ็นไซม์จากอาหารสุขภาพ หรือเพื่อการดูแลสุขภาพของตนเอง ให้ท่านจำเคล็ดเหล่านี้เอาไว้

ทานโปรตีเอสระหว่างมื้ออาหาร เพื่อการลดพิษและทำให้บริสุทธิ์

ทานเฉพาะเอ็นไซม์ที่มาจากขบวนการหมักเท่านั้น

การเสริมอาหารต้องได้รับทั้ง 3 เอ็นไซม์หลักโปรตีนเอส, ไลเปสและอะไมเลส

เสริมอาหารอย่างสม่ำเสมอพร้อมมื้ออาหารเพื่อช่วยการย่อยอาหาร

เคล็ดลับของผิวที่มีสุขภาพดี

ปริมาณหน่วยของการเสริมอาหารด้วยเอ็นไซม์ในแต่ละขวด จะต่างกันไป ท่านที่มีปัญหาผิวหนังร้ายแรง อาจต้องการเอ็นไซม์ในปริมาณสูงมาก โดยอาจต้องได้รับการดูแลจากผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น ส่วนมากหากท่านอ่านฉลากอย่างละเอียดแล้ว ท่านจะพบว่า ท่านสามารถเสริมอาหารด้วยเอ็นไซม์หลายชนิด ในปริมาณที่เหมาะสมได้ ปริมาณหน่วยเอ็นไซม์เหล่านี้ เป็นปริมาณที่น้อยที่สุดที่ท่านต้องการ เพื่อประสบความสำเร็จในโปรแกรม ท่านควรบริโภคเอ็นไซม์ชนิดต่างๆในปริมาณดังนี้

อะไมเลส : 5500 DU

ไลเปส : 145 LU

โปรติเอส : 30,000 HUT

เซลลูเลส : 600 CU

แลคเตส : 360 LacU

มอลเตส : 216 DP

ซูเครส : 80 IAU

ในระหว่างมื้อ เพื่อป้องกันและเป็นการลดพิษควรบริโภค Protease : 330,000 ถึง 420,000 UHT

เคล็ดลับของการรักษาผิวหนังให้สดใสและดูเด็กก็คือ การรับประทานเอ็นไซม์อย่างเพียงพอและเหมาะสม การบริโภคเอ็นไซม์ไม่ได้เป็นความลึกลับของชีวิต ไม่ซับซ้อน เนื่องจากข้อมูลทั้งหมด เป็นข้อมูลที่หารวบรวมมาอย่างดี พิสูจน์ได้ และเข้าใจง่าย ผิวหนังของท่านต้องการการบำรุงรักษาอย่างต่อเนื่องจากภายในร่างกาย โดยเอ็นไซม์เท่านั้นที่จะสามารถทำได้

มีเรื่องราวที่ประสบความสำเร็จหลายเรื่องราว ที่ทางเราสามารถนำมาเกี่ยวโยงได้ แต่จะทำให้หนังสือเล่มนี้หนักเกินไปสำหรับท่านผู้อ่าน Psoriasis และความผิดปกติของผิวหนังอื่นๆ สามารถรักษาได้ในระยะเวลาสั้น นับตั้งแต่เริ่มต้นเอ็นไซม์บำบัด มีผู้ป่วยคนหนึ่ง มีปัญหาผิวหนังที่เรียกว่า โรคเท้าช้าง โดยเป็นสภาวะที่มีลักษณะพิเศษ ตรงที่ขนาดของส่วนต่างๆ ของร่างกายขยายใหญ่ขึ้น โดยเฉพาะส่วนขาและอวัยวะสืบพันธุ์ ผิวหนังโดยรอบจะแข็งและกลายเป็นแผล ทั้งนี้เกิดจากการอุดตันของท่อน้ำเหลือง โดยมักจะเกิดจากตัวพยาธิเอง ผู้หญิงผู้น่าสงสารคนนี้ ได้รับความเจ็บปวดอย่างมาก แต่ 2 สัปดาห์หลังจากเริ่มได้รับเอ็นไซม์บำบัด เธอเริ่มรู้สึกและเห็นได้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่สังเกตได้ชัด และคนอื่นๆได้บอกกับเธอว่า เธอดูดีขึ้นมาก การทำงานของเอ็นไซม์เป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นมาก ก็เพราะว่ามันทำงานได้ผลจริง !

สรุป : เอ็นไซม์เพื่อผิวพรรณ

เอ็นไซม์เบื้องต้น

โปรตีเอส : สลายโปรตีนในอาหาร ที่ต้องส่งให้เซลล์ของผิวหนังและยังช่วยการกระจายสารอาหารทั้งหมดไปสู่ผิวด้วย

เอ็นไซม์เสริม

ไลเปส : ช่วยให้เซลล์ผิวเต่งไม่หดตัว

อะไมเลส : ลดการอักเสบของผิวหนัง

เซลลูเลส : ลดการอักเสบของผิวหนัง

โปรตีเอส, ไลเปส, อะไมเลสและเซลลูเลส สามารถพบได้ในสัตว์เป็น

การทำให้ชีวิตที่กระชุ่มกระชวย สุขภาพดี และอายุยืนยาว

ความเป็นไปได้ของการมีอายุที่ยืนยาว

ดร.ฮาเวลและผู้ร่วมงาน ดำเนินการทดสอบความสามารถที่จะชะลอความแก่ของมนุษย์ โดยการสาธิตเกี่ยวกับความแก่ และกระบวนการกระตุ้นเอ็นไซม์ ที่ทำให้เกิดความอ่อนแอ เป็นงานวิจัยที่น่าตื่นเต้นมาก เพราะเป็นการสร้างความสดใสให้ร่างกายอย่างต่อเนื่อง เพื่อขจัดความเสียหายของเซลล์เหล่านั้น ขณะเดียวกัน เรามีข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับบทบาทสำคัญของเอ็นไซม์ด้วย

เรารู้ว่า สาเหตุหลักของความแก่ ประกอบด้วยเซลล์ที่เสื่อมลงและมีสารพิษส่วนเกินในร่างกาย สิ่งเหล่านี้ จะกลับมาสะท้อนให้เห็นถึงระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอจากภาวะที่ถูกทำลาย โดยมีสาเหตุจากอนุมูลอิสระที่มีอยู่โดยทั่วไปเจือปนอยู่ในเลือด เราพบว่า มันเป็นสิ่งที่น่าสนใจมากขึ้น เพราะนั่นคือ ปัญหาที่ใกล้เข้ามาทุกวัน หรือในทางตรงกันข้าม สิ่งที่สำคัญเหมือนกันโดยแท้จริงคือ การขาดสารอาหาร จากบทที่แล้ว ท่านได้เรียนรู้ว่า การเสริมอาหารด้วยเอ็นไซม์ จะช่วยให้ผิวพรรณดูอ่อนเยาว์ยิ่งขึ้นได้

ในการบำบัดผู้สูงอายุ เพื่อให้มีผิวหนังสดใส และคงความอ่อนเยาว์ ทุกคนควรได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอในแต่ละวัน ควรรับประทานอาหารที่เหมาะกับชนิดรูปร่างของตน ตลอดจนได้เอ็นไซม์ในแต่ละมื้อและระหว่างมื้อ เพื่อใช้ในการซ่อมแซมร่างกาย จะทำให้พวกเขาดูเป็นหนุ่มเป็นสาว ที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่า การบริโภคเอ็นไซม์เสริม เพื่อช่วยร่างกายให้ได้รับสารอาหารจากสิ่งที่ท่านได้รับประทานเข้าไป เพื่อเป็นการสร้างสิ่งป้องกันอวัยวะและเนื้อเยื่อให้ฟื้นฟูสู่สภาพเดิม ท่านจะได้รับสุขภาพที่สมดุลย์และความอ่อนเยาว์ เอ็นไซม์จะช่วยรักษาร่างกายด้วยตัวของมันเอง

ทำไมเอ็นไซม์ทำให้ร่างกายดูอ่อนเยาว์

หลังจากการทดสอบต่างๆเกี่ยวกับความแก่ ดร.ฮาเวลผู้ที่เริ่มต้นการศึกษาด้านเอ็นไซม์ตั้งแต่ ปี 1930 ได้สรุปว่าการกินอาหารที่ปราศจากเอ็นไซม์ จะทำให้ร่างกายต้องนำเอาเอ็นไซม์ที่สร้างขึ้นนำเอาไปใช้ นับว่าเป็นการสิ้นเปลืองเอ็นไซม์ที่มีประสิทธิภาพในปริมาณที่มาก ทั้งนี้เนื่องจากเอ็นไซม์ดังกล่าว เป็นเอ็นไซม์ที่ถูกสร้างขึ้นมาจากตับอ่อนและอวัยวะในระบบย่อยอาหารอื่นๆ ทำให้ผลที่ตามมาคือ จำทำให้อายุขัยสั้นลง เกิดการเจ็บป่วย และความสามารถในการต้านโรค ต้านทานความตึงเครียดต่างๆ ทั้งทางสิ่งแวดล้อมและทางร่างกายลดลง แต่โดยการรับประทานอาหารร่วมกับเอ็นไซม์สกัดเสริมอาหารที่ปรุงสุกแล้ว เราจะสามารถหยุดความผิดปกติดังกล่าวได้ ดร.ฮาเวล ได้บรรยายในหนังสือตอนหนึ่งที่สำคัญมากว่าหากท่านเสริมเอ็นไซม์ตั้งแต่อายุยังน้อย จะทำให้เอ็นไซม์ของท่านแม้ว่าจะมีอายุถึง 80 ปี แต่จะมีความสามารถของเอ็นไซม์จะเทียบเท่ากับเมื่อท่านมีอายุ 40 ปีได้

ความแก่มีความเกี่ยวข้องอย่างมาก กับการลดลงของเอ็นไซม์ที่ได้รับ การทำเอ็นไซม์บำบัด จะช่วยชะลอกระบวนการแก่ได้ และจะเป็นการช่วยกำจัดอนุมูลอิสระ เมื่อใดก็ตาม ที่เราทนทุกข์ทรมานจากความเจ็บป่วยทั้งแบบเฉียบพลัน และแบบเรื้อรัง จะมีเอ็นไซม์ที่คอยลดความเจ็บป่วยเหล่านั้น ผู้ที่มีการย่อยอาหารไม่ดี ระบบต่อมไร้ท่อไม่สมดุลย์ น้ำตาลในเลือดไม่สมดุลย์ เป็นโรคเบาหวาน เป็นโรคอ้วน มีคอเลสเตอรอลสูง มีไตรกลีเซอไรด์สูง และมีความตึงเครียด เป็นผู้ที่จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับเอ็นไซม์เสริม เอ็นไซม์จะช่วยในการกำจัดพิษในร่างกาย โดยไปช่วยกระตุ้นการย่อยสลายเพื่อเป็นการกำจัดพิษ หากท่านมีชีวิตที่ยุ่งเหยิง ต้องเดินทางตลอดเวลา และไม่สามารถทานอาหารต่างๆที่มีในท้องที่ที่ท่านอาศัยอยู่ ปริมาณเอ็นไซม์ที่สะสมอยู่ในร่างกายของท่านจะมีน้อยกว่าปกติมาก

อายุที่เพิ่มขึ้นทำให้เกิดการขาดเอ็นไซม์ได้อย่างไร

การแพทย์ได้ค้นพบเพียงเล็กน้อย เกี่ยวกับการยับยั้งกระบวนการแก่ของตัวเอง นักชีววิทยาก็ยังไม่สามารถกำหนดคำนิยามได้ เรารู้เพียงแต่ว่า เซลล์ต่างๆจะตายไปเร็วกว่าเซลล์ที่สร้างขึ้นมาใหม่ ภายหลังจากอายุ 30 ปี ร่างกายของเราจะมีปริมาณน้ำ และพลังงานสะสมในร่างกายลดลงอย่างเห็นได้ชัด ประสิทธิภาพของร่างกายจะลดลงประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์ต่อปี เนื้อเยื่อต่างๆ จะสลายไป เอ็นไซม์จะหายไป การกลายพันธุ์จะทำลายยีนและอวัยวะต่างๆไปเรื่อยๆ โดยทั่วไปแล้วในร่างกายของชายวัย 80 ปี จะมีการตายของเซลล์ 50 ล้านเซลล์ต่อวินาที ในขณะที่อาจมีเพียง 30 ล้านเซลล์ที่สร้างขึ้นมาใหม่ทดแทน กล้ามเนื้อของเขาจะสูญไปราว 30 เปอร์เซ็นต์จากน้ำหนักเดิม สมองของเขาจะหดลงไปราว 10 เปอร์เซ็นต์ และเส้นประสาทจะมีไฟเบอร์ลดลงจากเดิม 25 เปอร์เซ็นต์ ในการหายใจแต่ละครั้ง จะนำออกซิเจนเข้าไปในหัวใจได้ลดลง 50 เปอร์เซ็นต์ ประกอบกับในการเต้นของหัวใจแต่ละครั้ง จะสามารถปั๊มเลือดได้ลดลง 35 เปอร์เซ็นต์ เลือดจะดูดซึมออกซิเจนได้ช้าลง 60 เปอร์เซ็นต์ และไตต้องลดประสิทธิภาพของมันลงไปครึ่งหนึ่ง เพื่อช่วยให้อวัยวะอื่นๆทำงานได้มากขึ้น

ร่างกายของเราจะยังคงทำหน้าที่ต่อไป ในขณะที่ทั้งหมดนี้ได้แสดงออกถึงความอัศจรรย์ทางชีววิทยาของอวัยวะนับร้อย กระดูกกว่าสองหมื่นชิ้น กล้ามเนื้อมากกว่าหกร้อยมัด และเซลล์นับร้อยล้านล้านเซลล์ มีความจำเป็นที่จะต้องรู้ว่า ไม่มีส่วนใดหรือกระบวนการใด ที่จะสามารถทำงานได้โดยปราศจากเอ็นไซม์ เอ็นไซม์คือ พลังงานและสารที่จะทำให้ชีวิตดำเนินไปได้ โดยเป็นองค์ประกอบหลักของปฏิกิริยาเคมี ที่เกิดขึ้นภายในร่างกายของมนุษย์

ใส่ความเห็น