ขั้นตอนของการเกิดโรค สืบเนื่องจากเรื่องการทานอาหารสด เพื่อเพิ่มเอนไซม์

ดร.อานนท์ เอื้อตระกูล

“โรค” เป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิดกับตัวเอง เป็นความรู้สึกว่า โรคเหล่านั้นมันเกิดขึ้นเพียงชั่วเวลาข้ามคืน และแน่นอนที่สุดว่า ไม่มีทางใดที่จะขอให้มันละเว้นเราไปได้ หลายคนจึงรู้สึกตนกลายเป็น “เหยื่อผู้เคราะห์ร้าย” เป็นผู้ที่ไม่มีทางเลือกอื่นให้เลือกเอาเสียเลย ทำให้เราได้เรียนรู้ว่า เหตุการณ์เหล่านั้นส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืนอย่างที่คิดกัน และเรียนรู้ว่ามันเป็น “ทางเลือก” ทางสำหรับผู้ที่เลือกจะปฏิเสธการออกกำลังกายทุกรูปแบบ ผู้ที่อดอาหารกลางวันทุกๆวัน แต่หันไปบริโภคอาหารเร่งด่วนแทน ผู้ที่เอาแต่เครียด และมีวิถีชีวิตแบบผิดๆ สิ่งเหล่านี้ ล้วนนำไปสู่ภาวะพร่องเอ็นไซม์ หรือทำให้ระดับเอ็นไซม์ในร่างกายเสียสมดุลย์ ถึงแม้ทุกคนเกิดจะมาพร้อมกับความสามารถในการสังเคราะห์เอ็นไซม์ได้เอง แต่เมื่อสภาวะของร่างกายเสียสมดุลย์ หรืออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่สมดุลย์ เอ็นไซม์ก็จะถูกทำลาย และร่างกายก็จะสังเคราะห์เอ็นไซม์ได้น้อยลง

ในความเป็นจริงแล้ว มันช่างดูเป็นทางเลือกที่แย่เอามาก ๆ ทางเลือกที่จะทำให้ระบบต่างๆเกิดเสียสมดุลย์ไปทั่วร่างกาย จะเป็นการเปิดช่องให้โรคร้ายต่างๆเกิดตามมาได้ โรคเหล่านั้นไม่ได้เกิดขึ้นรวดเร็วเพียงชั่วข้ามคืน มันอาจต้องใช้เวลาเป็นปี ๆ ช่วงเวลาที่เราทำอะไรตามใจตัวเองเกินไป และละเลยการดูแลสุขภาพ จนกระทั่งทำให้ระบบเอ็นไซม์ของร่างกายเสียสมดุลย์ และเกิดโรคต่าง ๆ ขึ้นมาในท้ายที่สุด

ระยะที่ 1 : 95 เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่อยู่ในระยะนี้แยกโดยอาศัยเกณฑ์วิถีชีวิต และ/หรือ ปัจจัยจากสิ่งแวดล้อม
ขั้นแรกของโรคนั้นก่อตัวขึ้นจากพฤติกรรมของผู้ป่วย เช่น การกิน การดื่ม การทำงาน การวิตกกังวลที่มากเกินไป รวมไปถึงการกินอาหารที่ผ่านการปรุงหลายขั้นตอนด้วย เพราะอาหารเหล่านี้ จะขาดเอ็นไซม์ที่จะมาช่วยย่อย นอกจากนี้ ความเครียด และแอลกอฮอล์ จะยังทำให้เอ็นไซม์เสื่อมคุณภาพได้ด้วย ขณะที่น้ำตาล กาเฟอีน บุหรี่ เครื่องดื่มมึนเมาต่างๆ ยา น้ำดื่มที่ไม่บริสุทธิ์ ลมพิษทางอากาศ ความตึงเครียดต่าง ๆ รวมไปถึงการขาดการพักผ่อนที่เพียงพอ สิ่งเหล่านี้ ล้วนแต่ทำให้ร่างกายมีสารพิษมากขึ้น ด้วยเหตุนี้เอง เราจึงจำเป็นที่จะต้องเพิ่มระดับของเอ็นไซม์ที่เกี่ยวข้องในระยะที่ 1 นี้ให้มากพอ มิเช่นนั้นแล้ว หากร่างกายไม่สามารถสร้างเอ็นไซม์ที่จำเป็นอย่างพอเพียง ก็จะส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ และร่างกายไม่แข็งแรง

ยังมีผู้คนจำนวนอีกเท่าไหร่ที่ยังเลือกที่จะปฏิบัติตัวแบบผิด ๆ จนเป็นกิจวัตร โดยไม่คำนึงถึงผลร้ายที่จะเกิดตามมา  มาถึงตอนนี้ เอ็นไซม์ช่วยย่อยที่ร่างกายสังเคราะห์ขึ้นมาได้นั้น ก็จะลดน้อยลงกว่าปกติเสียแล้ว และแม้ว่าในอาหารจะมีเอ็นไซม์อยู่บ้าง ก็ไม่เพียงพอที่จะรับภาวะไหว ทางที่เราจะช่วยร่างกายได้อย่างง่ายๆก็คือ “การกินเอ็นไซม์ช่วยย่อย” (digestive enzyme) เช่น โปรติเอส ที่จะไปย่อยอาหารจำพวกโปรตีน อะมิเลสย่อยอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต และไลเปสย่อยอาหารจำพวกไขมัน เท่านี้ก็นับได้ว่าเราได้ช่วยให้ร่างกายรักษาสมดุลย์ได้แล้ว

ระยะที่ 2 : เกิดขึ้นสืบเนื่องจากขั้นแรกไม่ได้รับการจัดการ แก้ไขอย่างเหมาะสม ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จนเกินที่ระบบจะรับไหว
ขั้นที่สองนี้เกิดขึ้นสืบเนื่องจาก ความสามารถของร่างกายอ่อนแอลงอย่างมาก กระทั่งไม่สามารถย่อยอาหารได้ ผลลัพธ์คือ มีสารพิษต่างๆจากอาหารเพิ่มขึ้น เริ่มจากที่ร่างกายขาดแคลนเอ็นไซม์ในขั้นแรก ระบบกำจัดพิษที่ตับ และไต กำจัดพิษได้ช้าลง จนกลายเป็นภาวะของระบบปกป้องร่างกาย ภาวะขาดแคลนสารอาหารจากขั้นแรกนั้น ยังทำให้ร่างกายไม่มีวัตถุตั้งต้นเพียงพอสำหรับการสังเคราะห์เอ็นไซม์ แอนติบอดี้ และฮอร์โมน ขณะที่อนุมูลอิสระยังคงถูกปล่อยออกมา และเป็นภัยต่อร่างกายอยู่ตลอด อนุมูลอิสระเหล่านี้ จะยิ่งมากขึ้นตามอายุ พร้อมกับที่ร่างกายก็จะสะสมสารพิษตามธรรมชาติมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยปัจจัยเหล่านี้ ล้วนแต่จะทำให้ร่างกายของเราอ่อนแอลงเรื่อย ๆ
ระหว่างที่มีการย่อยอาหาร ร่างกายจะสูบฉีดโลหิตจำนวนมากไปยังอวัยวะต่างๆ ที่ทำหน้าที่ย่อยอาหาร พลังงานของร่างกายจึงแบ่งได้เป็นสองทางคือ สำหรับการดูดซึมอาหารที่ย่อยแล้ว อีกทางหนึ่งก็จะใช้สำหรับการกำจัดส่วนเกิน การใช้พลังงานอย่างไม่สมดุลย์ มักเกิดขึ้นจากพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเช่น การกินอาหารมากเกินไป และทางเลือกผิดๆที่ได้กล่าวไปแล้วแต่ต้น รายงานทางวิทยาศาสตร์ชี้ให้เห็นว่า เฉพาะกระบวนการย่อยอาหารเพียงอย่างเดียว เราต้องใช้พลังงานประมาณ 80-90 เปอร์เซ็นต์ของร่างกาย นอกจากนี้ อาหารจำพวก กาแฟ โซดา แอลกอฮอล์ และน้ำตาลยังกระตุ้นให้เกิดการสูญเสียพลังงานได้อีกด้วย เมื่อร่างกายไม่สามารถกำจัดสารบางอย่าง และผลิตผลที่เป็นพิษของมัน เมื่อสารเหล่านี้ไม่ถูกกำจัดไป มันจะสะสมอยู่ตามเนื้อเยื่อ ข้อต่อ และอวัยวะต่าง ๆ ทำให้ร่างกายไม่สามารถล้างพิษของมันได้ ร่างกายเกิดอาการเฉื่อยชาและอ่อนแอ อาการหนึ่งที่จะบ่งถึงสัญญาณนี้ได้คือ อาการท้องผูก และอาการอื่นๆ ก็จะเกิดตามกันมาอีกหลายอย่าง ถึงตอนนี้ร่างกายไม่เพียงแต่ต้องรับภาวะกับสารพิษตกค้างมากมายเท่านั้น หากแต่มันจะทำให้ระบบเอนไซม์ทำงานอย่างเฉื่อยชา ลดศักยภาพในการย่อยอาหาร การสร้างกล้ามเนื้อ สร้างฮอร์โมน เนื้อเยื่อกระดูก และอื่น ๆ ก็จะไม่มีประสิทธิภาพไปด้วย ร่างกายที่อ่อนแอลงเรื่อย ๆ ก็จะยังผลให้เกิดวิกฤติตามมา
เอ็นไซม์ช่วยย่อย จะช่วยเสริมให้การย่อยตามธรรมชาติ สามารถทำงานได้เป็นปกติ ขณะที่การบริโภคสารเคมีอื่นๆนั้น จะเป็นสาเหตุที่จะทำให้เกิดพิษแก่ร่างกาย ร่างกายจึงจำเป็นต้องได้รับเอ็นไซม์ดังที่ได้กล่าวถึงในระยะแรกเพิ่มขึ้นด้วย
ระยะที่ 3: การเปลี่ยนเข้าสู่ระยะนี้ เกี่ยวข้องกับการเสียสมดุลย์ของระบบสมดุลย์กรด-ด่างของร่างกาย ระบบต่าง ๆ ในร่างกายอ่อนแอลงการตอบสนองในระดับเซลล์ลดลง
ระยะที่ 3 ของการก่อเกิดโรคนี้ เป็นระยะที่เกิดความผิดปกติขึ้นกับระบบสมดุลย์กรด-ด่างของร่างกาย เป็นผลสืบเนื่องมาจาก ผลของระยะที่ 2 นั่นเอง เมื่อมีนิสัยการกิน การดื่มที่แย่ๆไปนานๆ ก็จะทำให้ร่างกายเกิดสภาวะมีสารพิษเกิน จนในที่สุด จะทำให้เลือดมีสภาวะเป็นกรด หรือที่เรียกว่า “โลหิตเป็นพิษ” สภาวะนี้จริงๆแล้วมันเกิดขึ้นเนื่องจาก ฤทธิ์ด่างที่รักษาสมดุลย์เป็นกรด-ด่างของเลือดพร่องไป ระบบรักษาสมดุลย์ด้วยฤทธิ์ด่างของเลือดนี้ จะทำหน้าที่ยับยั้งกรดที่มาจากอาหาร ของเสียในร่างกาย ความเครียด เป็นต้น แร่ธาตุที่มีฤทธิ์เป็นด่าง จะทำหน้าที่ของมันอยู่ในกระแสเลือด และถ้าเมื่อใดที่มีกรดมาก แร่ธาตุเหล่านี้ก็จะถูกใช้ไป และถ้ายังไม่พอมันจะไปสลายเอาแร่ธาตุเหล่านี้ออกมาจากเนื้อเยื่ออื่นในร่างกายเช่น ฟัน กระดูก ตับ และที่อื่นๆ เพื่อที่จะเอามาทำลายฤทธิ์กรด และรักษาชีวิตเราไว้ แต่หากมีกรดมากเกินที่จะต้านไหว กรดเหล่านี้ก็จะล้นเข้าไปในเซลล์ ทำให้ภายในเซลล์เต็มไปด้วยกรด เมื่อนั้นเซลล์ของเราก็จะสูญเสียพลังงานในรูปของอิเล็คตรอนออกไป รวมถึงสูญเสียแร่ธาตุที่สำคัญภายในเซลล์เช่น โพแทสเซียม คลอไรด์ แมกนีเซียม และแร่ธาตุอื่นๆไปด้วย แร่ธาตุเหล่านี้ จะถูกดึงออกจากเซลล์และกำจัดออกจากร่างกายผ่านออกทางไตต่อไป
เมื่อเกิดความผิดปกติขึ้นกับระบบสมดุลย์กรด-ด่างของร่างกายเช่นนี้ ก็ส่งผลให้ระบบย่อยอาหารผิดปกติไปด้วย เพราะว่า ร่างกายไม่สามารถผลิต กรดไฮโดรคลอริค ที่จำเป็นสำหรับการย่อยอาหารในกระเพาะอาหาร และยังทำให้เกิดอาการกระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรังได้อีกด้วย
อาการเรอ เพื่อปล่อยอากาศออกมาจากกระเพาะอาหารนั้น เป็นอาการที่แสดงถึงภาวะอักเสบเรื้อรังดังกล่าว การกินยาลดกรดเพียงอย่างเดียว จะเป็นการเพิ่มความรุนแรงของโรคมากขึ้น เพราะว่า มันยิ่งไปทำให้ระบบสมดุลย์กรด-ด่างของร่างกายเสียสมดุลย์นั่นเอง เพราะเมื่อใด เรากินยาที่มีฤทธิ์เป็นด่างเข้าไป ร่างกายก็จะตอบสนองโดยการหลั่งกรดออกมาต่อต้าน เมื่อเป็นเช่นนั้นก็เหมือนกับว่าเกิดวงจรเดิมๆซ้ำแล้วซ้ำอีก จึงไม่หายเสียที อาการเหล่านี้สามารถแก้ไขได้ ด้วยการทานเอ็นไซม์ช่วยย่อยเสริมเข้าไปได้ เพราะจะทำให้ร่างกายปรับสมดุลย์ได้เองตามธรรมชาติ

ระยะที่ 4 : ระดับของสารพิษที่สูงอย่างต่อเนื่อง จะทำให้สภาวะในร่างกายเลวร้ายลง และเพิ่มอาการของโรคให้มากขึ้น
ระยะพิษสูงต่อเนื่องนี้จะเกิดไปพร้อมๆกับระบบเผาผลาญ หรือเมตาโบลิซึมของร่างกายแย่ลง พยาธิสภาพและพยาธิปัจจัยต่างๆก็จะอาศัยระยะที่ร่างกายอ่อนแอนี้เข้ามาคุกคามได้ จริงๆแล้วนอกจากของเสีย ยังมีของเสียจำพวกเซลล์ที่ตายแล้วรวมอยู่ด้วย ก็จะเป็นปัญหาที่ทำให้ระบบกำจัดพิษของร่างกายไม่สามารถกำจัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ก็ยังมีพิษที่เกิดจากพวกจุลชีพที่อาศัยอยู่ในร่างกายอีกด้วย การสะสมของสารพิษตามอวัยวะต่างๆ ข้อต่อ และส่วนสำคัญอื่นๆ ในร่างกายมีให้เห็นได้มากขึ้น การเกิดพิษก็จะเกิดขึ้นตามมา ในจำนวนเม็ดเลือดแดงประมาณ 25 ล้านล้านเซลล์ จะมีประมาณ 7 ล้านเซลล์ตายไปทุก ๆ วินาที ของเสียภายในเม็ดเลือดแดงก็ถูกทิ้งออกมา ที่สำคัญคือ คาร์บอนไดออกไซด์ กระบวนการสังเคราะห์สารของร่างกายจะได้รับผลกระทบอย่างมาก และเป็นการส่งสัญญาณให้กระบวนการปกป้องร่างกายต้องทำงานหนัก ขณะเดียวกัน ความสามารถของระบบรักษาสมดุลย์ของเหลวในร่างกายก็จะเสื่อมลงไปด้วย ในระยะที่ 4 นี้เราเรียกว่า ระยะที่มีการอักเสบก็ได้
อาการหลายอย่างในระยะนี้ เกิดขึ้นจากสารพิษเหล่านั้นมีการตกผลึกอยู่ในข้อต่อ ไต และถุงน้ำดี ผลึกเหล่านี้ก็จะจับเอาสิ่งที่ไม่สามารถย่อยได้จากอาหาร เครื่องดื่ม ยา ที่อาจตรวจพบได้ในผู้ป่วยบางคน สารพิษเหล่านี้นอกจากจะไม่สามารถย่อยสลายได้แล้ว ร่างกายยังไม่สามารถขจัดมันออกไปได้อีกด้วย เนื่องจากสภาวะร่างกายตอนนี้อ่อนแอเกินไปเสียแล้ว
ยกตัวอย่างอาการที่เรียกว่า “ภูมิแพ้” สิ่งที่ไม่ได้มีความซับซ้อนอะไรมากไปกว่าการระคายเคืองในโพรงจมูก ที่มีสาเหตุมาจากภาวะอักเสบเรื้อรังนั่นเอง ภาวะโลหิตเป็นพิษ ก็เป็นสาเหตุพื้นฐานของการอักเสบ รวมไปถึงการอักเสบของเซลล์ ที่บุผนังของหลอดเลือดและอวัยวะที่มีช่องกลวงต่างๆในร่างกาย อาการปวด บวม แดง ร้อน เป็นอาการที่แสดงลักษณะจำเพาะของระยะนี้ ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันได้พิสูจน์ให้เห็นว่า ภูมิแพ้ที่ไม่ว่าจะเป็นแพ้อากาศหรือแพ้อาหาร ก็ล้วนแต่เริ่มต้นจากในช่องท้องทั้งสิ้น
ในภาวะที่ภูมิคุ้มกันกำลังอ่อนแอเช่นนี้ โปรติเอสเป็นเอ็นไซม์เสริมที่จำเป็นมาก ที่จะช่วยให้ร่างกายรอดพ้นจากการคุกคามของโรคร้าย เอ็นไซม์โปรติเอสไม่เพียงแต่มีความสำคัญในการย่อยอาหารจำพวกโปรตีนเท่านั้น แต่ทว่ามันยังสามารถจับกับสารที่ชื่อ อัลฟา 2 มาโครกลอบูลิน (alpha 2-macroglodulin) และพาสารตัวนี้ไปยังตำแหน่งที่เกิดการอักเสบได้ดีด้วย สารพิษยังถูกกำจัดออกจากผ่านทางเลือดได้ดีขึ้นอีกด้วย นั่นอาจเป็นเพราะว่าเอ็นไซม์ไปทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตดีขึ้นนั่นเอง

ระยะที่ 5 : เกิดโรคขึ้นจริงๆแล้ว เนื่องจากอวัยวะเสื่อมประสิทธิภาพในการทำงานและไม่สามารถต้านทานโรคได้
ระยะที่ 5 ของความเสื่อมโทรมนี้ แยกได้จากอาการของร่างกายอ่อนแอ เจ็บออดๆแอดๆ และ “โรค” ก็เกิดขึ้น ระยะนี้ ยังเกิดอาการเนื้อเยื่อในชั้นเยื่อเมือก และชั้นที่อยู่ติดกันมีการหนาตัวและแข็งขึ้น ทั้งนี้เกิดเนื่องจาก มีการอักเสบเรื้อรัง และไม่หายเสียทีนั่นเอง อาการเช่นนี้ ยังไปเพิ่มความเสี่ยงของภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัว และเกิดการอุดตันขึ้นได้อีกด้วย เมื่อเกิดการอุดตัน ก็จะทำให้ไม่สามารถส่งออกซิเจน และสารอาหารไปเลี้ยงเนื้อเยื่อต่าง ๆ ได้ เนื้อเยื่อเหล่านั้นก็จะตาย และจับตัวเป็นก้อนความผิดปกติของผิวหนัง ปัญหาทางผิวหนังเหล่านี้ได้แก่ ผิวแตก มีไฝฝ้า ตกกระ มีจุดด่างดำ เป็นต้น ระบบไหลเวียนน้ำเหลืองก็ไหลเวียนไม่ดี ไม่สามารถใช้สารต้านอนุมูลอิสระได้ ทำให้ร่างกายเกิดพิษจากอนุมูลอิสระ และแก่ก่อนวัยมาถึงตอนนี้เอ็นไซม์ใดๆ ที่มีในร่างกาย ก็ดูจะไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ ภายในสภาวะที่เลวร้ายนี้ ผู้ป่วยจะได้รับความทุกข์จากอาการอาหารไม่ย่อย ท้องอืด เฟ้อ และรู้สึกเจ็บเสียดภายในช่องท้องอีกด้วย
เอ็นไซม์ช่วยย่อยที่ให้เสริมเข้าไปพร้อมกับการกินอาหารแต่ละมื้อ ก็ต้องเพิ่มขนาดกินขึ้นไปด้วยตามสภาพของโรค ยิ่งไปกว่านั้น ควรได้รับเอ็นไซม์โปรตินเอสเสริมเข้าไประหว่างมื้ออาหารด้วย เพราะโปรติเอสสามารถดูดซึมเข้าสู่กระแสโลหิตได้ทันที และควรจะกินเสริมอย่างน้อย 3 มื้อต่อวัน

ระยะที่ 6 : ความสามารถของร่างกายถึงขั้นเปิดทางให้แก่โรคต่าง ๆ แล้ว ระบบหลัก ๆ ของร่างกายก็ไม่สามารถทำหน้าที่ได้ดังเดิม
ระยะนี้จะเกิดความผิดปกติขึ้นกับระบบหลักๆของร่างกาย และเกิดโรคขึ้นหลายๆอย่าง เช่น แทนที่ร่างกายจะกำจัดพิษที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติเพียงอย่างเดียว ร่างกายยังต้องกำจัดสิ่งเหล่านี้ในรูปของสารคัดหลั่ง ที่เกิดจากแผลเปิดของผิวเยื่อเมือกที่เกิดจากแผลถลอก น้ำร้อนลวกพุพอง เป็นหนอง ติดเชื้อ แผลภายใน ตุ่มหนอง และแผลร้อนในสารคัดหลั่งหรือของเหลวที่ถูกกำจัดออกจากร่างกายนี้ อาจถูกกำจัดออกทาง ตา หู จมูก ช่องคลอด และอวัยวะที่มีช่องเปิดอื่น ๆ ของร่างกาย อาการอื่นๆของระยะที่ 5 นอกจากที่ได้กล่าวมาแล้วก็ได้แก่ ระดับน้ำตาลในเลือดผิดปกติ สูงหรือต่ำเกินไป อาการสั่น (เกิดจากระดับน้ำตาลต่ำ) ภาวะเหนื่อยอ่อนที่เกิดจากมีสารพิษในกระแสโลหิตสูงเกินไป อาการระคายเคืองในกระเพาะอาหาร และกระเพาะเป็นแผลก็พบได้ในระยะนี้ แบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ ที่จะมีทั้งชนิดที่เป็นประโยชน์และชนิดก่อนโรคตอนนี้ก็เสียสมดุลย์ไปด้วย แบคทีเรียชนิดก่อโรคจะเพิ่มจำนวนมากขึ้นมัน จะไปเกาะอยู่ตามเสื้อเยื่อวิลไล(villi)ของลำไส้ โดยจะไปขัดขวางการทำงานของเอ็นไซม์ที่ทำงานในลำไส้ด้วย แบคทีเรียพวกนี้ สามารถแบ่งตัวได้อย่างมโหฬารเนื่องจาก มันสามารถใช้ของเสียภายในลำไส้ใหญ่ ที่ร่างกายไม่สามารถย่อยได้เป็นแหล่งอาหาร นอกจากนี้ พวกมันยังเป็นอุปสรรค ต่อการย่อยอาหารพวกแป้ง และธัญพืช ของร่างกายอีกด้วย
สถานการณ์จะย่ำแย่ลงไปอีก ภาวะอาหารไม่ย่อย ภาวะผิดปกติของการดูดซึมเหล่านี้ ล้วนเอื้อให้จุลชีพทั้งที่ไม่ก่อโรค และพวกเชื้อฉวยโอกาสมีการเจริญแบ่งตัวได้อย่างดีในลำไส้ เนื่องจากเชื้อพวกนี้ สามารถใช้ของเสียภายในลำไส้ใหญ่ ที่ร่างกายไม่สามารถย่อยได้อย่างสมบูรณ์ เป็นแหล่งอาหารของมัน แล้วก็ปล่อยของเสียที่เป็นพิษออกมา เชื้อเหล่านี้หลายชนิด เป็นเชื้อก่อมะเร็งด้วย จากการศึกษาพบว่า แบคทีเรียบางจำพวก สามารถเปลี่ยนโคเลสเตอรอลที่มากเกินไปเป็นสารประกอบที่คล้ายๆกับเอสโตรเจน สารเหล่านี้จะกระตุ้นการเกิดโรคมะเร็งได้
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร โปรไบโอติค(probiotic) เป็นผลผลิตจากแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เป็นสิ่งที่ไม่เพียงแต่เป็นประโยชน์ในทางป้องกันเท่านั้น แต่ยังจำเป็นต่อสุขภาพโดยรวมอีกด้วย แบคทีเรียที่มีประโยชน์ในการกำจัด และช่วยลดจำนวนแบคทีเรียก่อโรคทั้งหลาย รวมถึงพวกเชื้อราก่อโรคด้วย สามารถไปเพิ่มประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยให้เซลล์ต่างๆ ในระบบภุมิคุ้มกันทำหน้าที่ได้ดีขึ้น และช่วยให้เซลล์เหล่านั้น หลั่งสารซัยโตไคน์ (cytokines) และนอกจากนี้ มันยังไปช่วยทำให้เกิดสมดุลย์กรด-ด่างในลำไส้ใหญ่ได้อีกด้วย

ระยะที่ 7 : ร่างกายถูกรุมเร้าด้วยโรคนานาชนิด
ในระยะสุดท้ายของการก่อโรคนี้ ความผิดปกติในระดับเซลล์ จะทำให้เนื้อเยื่อบางอย่างเจริญอย่างผิดปกติ ก่อให้เกิดความผิดปกติของระบบไหลเวียนและเป็นภาวะที่ระบบต่างๆถูกทำลายไปทั่วร่างกาย ในระยะนี้ เซลล์ต่างๆจะไม่สามารถแบ่งตัวได้ตามปกติ ขณะที่เซลล์มะเร็งและเนื้อร้ายกลับเจริญได้ดี มะเร็งเกิดขึ้นจากระบบสร้างเซลล์ตามปกติถูกรบกวน ทั้งจากทางกายภาพ ทางเคมี หรือกระบวนการทางพันธุกรรม เซลล์ที่ถูกสร้างออกมาจึงเป็นเซลล์ที่เกิดความเสียหายขึ้นภายใน และเป็นเซลล์ที่ผิดปกติ เซลล์เหล่านี้จะไปแย่งสารอาหารจากเซลล์ปกติอื่นๆของร่างกาย ในคนที่สุขภาพดีโดยทั่วไป อาจจะมีเซลล์ผิดปกติเหล่านี้ได้ถึง 100-10,000 เซลล์ เลยก็ได้ แต่นั้นก็ไม่ได้แปลว่า เขาจะป่วยเป็นมะเร็ง เพราะว่า ร่างกายยังสามารถส่งสัญญาณออกไปเพื่อขอความช่วยเหลือจากระบบต่างๆได้ เช่น ระบบเอ็นไซม์ ภูมิคุ้มกัน ให้เข้ามาช่วยกันทำลายเซลล์เหล่านี้ได้ เอ็นไซม์ยังช่วยในการกำจัดพิษของเซลล์ผิดปกติเหล่านี้ด้วย สุดท้ายร่างกายก็สามารถกำจัดเซลล์เหล่านี้ไปได้โดยที่ไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม เซลล์ผิดปกติเหล่านี้ ยังถูกสร้างออกมาอยู่เรื่อยๆตามธรรมชาติ ตราบเท่าที่เรายังมีสุขภาพที่แข็งแรง เราก็จะสามารถกำจัดมันออกไปได้ แต่ทว่าหากใครที่ยังมีนิสัยและพฤติกรรมการบริโภคอย่างผิดๆหรือรับประทานยาที่ไปกดภูมิคุ้มกัน ชอบสูบบุหรี่ เครียด จนทำให้ระบบปกป้องร่างกายถูกทำลายดังที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น การก่อกำเนิดโรคก็จะเกิดขึ้นได้ เมื่อร่างกายอ่อนแอลงเรื่อยๆ เนื่องจากสาเหตุที่กล่าวไปแล้ว ตั้งแต่ระยะที่ 1-6 ทำให้ร่างกายด้อยประสิทธิภาพในการสังเคราะห์เซลล์ และเอนไซม์ที่จำเป็นต่างๆ เซลล์มะเร็งสามารถจำแนกได้จากลักษณะดังนี้ (Lehniger. 1982)
1. ไม่สามารถควบคุมการแบ่งตัวของเซลล์ได้ และเซลล์จะไม่เจริญตามขั้นตอนปกติ
2. เซลล์เหล่านั้น จะไปรบกวนเซลล์ปกติที่อยู่ใกล้เคียงทั้งทางด้านกายภาพและชีวภาพ
3. แบ่งตัว และรบกวนระบบเผาผลาญและสร้างพลังงานของร่างกาย
4. สามารถใช้ออกซิเจนในระดับต่ำกว่าเซลล์ปกติ
5. ต้องการใช้น้ำตาลกลูโคสเพื่อเป็นแหล่งพลังงานมากกว่าเซลล์ปกติ
6. สร้างกรดแลคติคขึ้นภายในเซลล์สูงผิดปกติ
7. ปล่อยกรดแลคติคออกมา ทำให้เซลล์ตับต้องทำหน้าที่เปลี่ยนกรดแลคติคให้เป็นน้ำตาลกลูโคส ต้องสูญเสียพลังงานไปมาก ด้วยเหตุนี้ เซลล์มะเร็งจึงถูกเรียกอีกอย่างว่าเป็นพวก “พยาธิของระบบเผาผลาญ” (metadolic parasites) เมื่อตับต้องสูญเสียพลังงานไปมาก ทำให้ตับอยู่ในสภาพที่อ่อนแอ

นอกจากนี้แล้ว เซลล์มะเร็งอาจจะสร้างโปรตีนที่เหมือนกับเซลล์ปกติมาเคลือบไว้บนตัวมัน เพื่อที่จะให้เซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันเห็นว่า มันเป็นเซลล์ปกติ นั่นก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่เซลล์มะเร็งใช้ในการหลบเลี่ยงจากการถูกทำลายโดยระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
เมื่อเซลล์ที่ผิดปกติเหล่านี้ รอดพ้นจากระบบต่างๆของร่างกายมาได้แล้ว ถึงตอนนี้มันจะสร้างโปรตีนที่หนืดๆเหมือนกาวขึ้นมาห่อหุ้มตัวมันเองไว้ ทำให้เซลล์เหล่านี้ มีเปลือกหุ้มที่หนากว่าเซลล์ปกติถึง 15 เท่า มันจะซ่อนตัวอยู่ภายใต้เปลือกหุ้มนี้ ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันหามันไม่เจอ ถึงตอนนี้ มันจะล่องลอยไปตามที่ต่างๆในร่างกาย เพื่อจะหาที่เหมาะๆ เพื่อเข้าไปยึดเกาะด้วยเปลือกเหนียวๆของมัน จากนั้นมันจะแบ่งตัวอย่างมโหฬารอีกครั้ง จนได้เนื้อร้ายที่เรียกว่า “มะเร็ง” เซลล์มะเร็งดูจะเป็นเซลล์ที่ฉลาด และมีลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์บางอย่าง บนผิวเซลล์เปรียบเสมือน “เครื่องหมายการค้า” แม้ว่าตัวเซลล์จะถูกทำลายไปแล้ว ตัวเครื่องหมายการค้าของมันก็อาจจะยังหลงเหลืออยู่ คอยทำให้เซลล์ภูมิคุ้มกันเกิดความสับสน โดยการล่อให้เซลล์ภูมิคุ้มกันมาเกาะตัวมัน และเปิดโอกาสให้เซลล์มะเร็งตัวอื่นรอดพ้นจากการถูกทำลาย เมื่อเซลล์มะเร็งมีมากขึ้น ตัวเครื่องหมายการค้า ก็มากชนิดขึ้นเรื่อยๆด้วย จนกระทั่งมีมากเกินกว่าเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันจะต้านทานไหว เซลล์มะเร็งเหล่านี้ ก็จะเข้าไปรุกรานระบบภูมิคุ้มกันด้วย
ยิ่งมีเซลล์มะเร็งหลายชนิดเท่าไหร่ ร่างกายก็ยิ่งต้องการเอ็นไซม์หลายชนิดเท่านั้น เอ็นไซม์ช่วยย่อยที่ทานเสริมเข้าไป อาจจะช่วยให้ร่างกายสามารถใช้ย่อยอาหารได้มีประสิทธิภาพขึ้น เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย โดยเฉพาะในกรณีที่ทำให้ระบบเผาผลาญของร่างกาย ต้องการสารอาหารมากขึ้น นอกเหนือจากนี้ หลายๆการทดลองแสดงให้เห็นว่า เอ็นไซม์โปรติเอสที่ทานเสริมเข้าไปนั้น สามารถช่วยในการทำงานของระบบซัยโตไคน์ และมีบทบาทสำคัญในการต้านมะเร็งบางชนิดได้
บทสรุป
“โรค” เป็นสิ่งที่ไม่ได้ถูกกำหนดให้เกิดขึ้นกับใคร เราสามารถจัดการกับมันได้ หากเรามีความมุ่งมั่นที่จะเลิกพฤติกรรมการบริโภคที่ผิดๆ และหันมาบริโภคอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ การเปลี่ยนแปลงสภาวะบางอย่างในร่างกายเช่น เสริมสร้างเอ็นไซม์ช่วยย่อย บริโภคอาหารอย่างพอเหมาะ และเปลี่ยนนิสัยในการบริโภคอย่างถาวร เหล่านี้จะส่งผลต่อการยืดอายุของอวัยวะสำคัญต่างๆในร่างกายอย่างมาก หากว่าระดับพลังงานของร่างกายยังเพียงพอแก่ความต้องการของร่างกาย ก็เท่ากับว่า เราจะยังคงความหนุ่มสาวไว้ได้อีกตราบเท่านาน นี่เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของความสำคัญของระดับพลังงาน ที่อยู่ข้างใน จงจำไว้ว่าอาการต่างๆ ที่เพิ่งกล่าวไปนั้น ไม่ได้มีอะไรมากเกินไปกว่าการทำให้ระบบต่าง ๆ ของร่างกายสามารถกลับเข้าสู่ความสมดุลย์เท่านั้นเอง

ใส่ความเห็น