Super Royal Cream (SRC) ครีมมหาอมตะ

ดร.อานนท์ เอื้อตระกูล

เปรียบประหนึ่ง อาหารจากน้ำนมมารดาหลังคลอดบุตรใหม่ๆ หรือเปรียบเสมือนหัวอาหารที่ผึ้ง หรือปลวกนำมาให้พญาผึ้งหรือปลวกกิน ดังนั้นครีมมหาอมตะ จึงอุดมไปด้วยสารอาหาร วิตามินและเกลือแร่ รวมทั้งเชื้อจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์อยู่มากที่สุด บางคน เมื่อทำการหมักแล้ว แต่ไม่มีความรู้ คิดว่า ส่วนนี้ คือ ส่วนที่เป็นของบูด ของเสีย ก็มักจะช้อนหรือตักทิ้ง ทั้งๆที่ส่วนนี้ คือ ส่วนที่มีคุณประโยชน์อย่างมหาศาล แม้ว่า ต้กขึ้นเอามาแล้ว วางไว้เฉยๆไม่นาน มันจะย่อยสลายไปเอง นั่น คือ จุลินทรีย์ มันจะกินอาหารเหล่านี้ กลายเป็นของเหลวไปหมดเลย ด้วยเหตุนี้ เวลาจะเก็บรักษาไว้ใช้นานๆนั้น จะต้องนำไปแช่แข็งเลยไม่เช่นนั้น หากเก็บไว้ที่อุณหภูมิธรรมดา เชื้อจุลินทรีย์ มันจะกินครีมพวกนี้ ให้กลายเป็นน้ำไป เพราะมันก็คือ อาหารของมัน ดังนั้น คำถามที่บอกว่า จะรู้ได้ไงว่ามันจะหมดอายุ ก็ลองดูสิ ไม่นาน ที่อุณหภูมิห้องไม่กี่วัน มันจะหายไปหมด  หรือหากต้องการเก็บไว้นานๆ ให้ทำแห้งผ่านขบวนการ Freeze dry

ส่วนการใช้ครีมมหาอมตะนั้น ใช้ได้ทั้งทานหรือเอามาใช้ภายนอกร่างกาย
ซึ่งถือว่า เป็นส่วนสุดยอดในการบำรุงผิว สามารถนำไปผสมกับครีมบำรุงผิวประมาณ 5% ผสมกับครีมบำรุงผิว จะถนอมผิวสุดยอด ไม่แพ้การใช้วุ้นจากเห็ดเยื่อไผ่ ที่นำเอามาใช้ทาบำรุงผิว  โดยเอาผสมกับครีมทาผิวทั่วไป เช่น ครีมนีเวีย โดยใส่ SRC เข้าไป 5-10% โดยปริมาตร ยิ่งตักออก ก็ยิ่งเกิดขึ้นใหม่อีก เพราะมันเป็นครีมที่มันสร้างขึ้นมาเพื่อพยุงตัวมันเอง แต่พอตักออกมาแล้ว ต้องเก็บไว้ในตู้เย็น ชั้นแช่แข็งได้ยิ่งดี  ส่วนนี้ เป็นส่วนที่มีจุลินทรีย์โปรไบโอติกสูงที่สุด เพราะจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์จะอยู่บริเวณนี้ ดังนั้น สามารถนำไปผสมกับนม หรือน้ำผลไม้ดื่ม หรือนำไปใส่ในไอศครีม หรือเอาไปปั่นกับผักหรือผลไม้ รวมทั้งย่านางแดงได้

แต่หากวุ้นที่เห็นหนาขึ้นและมีลักษณะคล้ายเจลลี่ แสดงว่า นั่นเป็นวุ้นที่เกิดจากเชื้อ Acetobactor sp. ก็คือ เชื้อน้ำส้มสายชูนั่นเอง วุ้นก็คือ เซลลูโลสธรรมดา ที่ไม่มีประโยชน์อันใด ยกเว้น เพิ่มเส้นใยให้แก่ระบบการย่อยเท่านั้น  เซลลูโลสนำมาทานได้  มันก็เหมือนกินผัก ผลไม้หรืออาหารที่มีเยื่อใยทั่วไป เพราะเซลลูโลสนั้น ร่ายกายเอาไปใช้อยู่แล้ว แต่มันจะทำให้อิ่มท้อง  มันจะกลายเป็นกาก พาของเสียออกมาเป็นอุจจาระไง ทำให้ไม่เป็นโรคกระเพาะ พาไขมันออกจากร่างกายได้บางส่วน ลดการเป็นความดัน ทำให้ไม่มีการสะสมของเสียในร่างกาย ท้องไม่ผูก จึงลดการเกิดอนุมูลอิสระ ที่เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งได้      

วุ้นหรือเจลลี่ คือของเสียของเชื้อ Acetobactor sp.  เปรียบเสมือนอุจจาระของคน ส่วนน้ำส้มหรือกรด Acetic นั้นเปรียบเสมือนปัสสาวะของคน  นี่คือการเปรียบเปรยเพื่อให้เข้าใจง่ายๆ  การที่แบคทีเรียชนิดนี้สร้างแผ่นวุ้นหรือเจลลี่ขึ้นมา ก็เพราะมันต้องการพยุงตัวมันเองให้รับอากาศอยู่บริเวณผิวของๆเหลวครับ แต่แผ่นเจลลี่ที่มีนสร้างขึ้นนี้ มันก็คือ แค่เซลลูโลส อันประกอบไปด้วยน้ำตาลจับกันเป็นสารประกอบขนาดใหญ่ ซึ่งมีคุณสมบัติหนักกว่าน้ำ นั่นก็หมายความว่า เวลามันสร้างเจลลี่ขึ้นมาพยุงตัวมัน มันอาศัยแรงตรึงผิวของน้ำ และปลายขอบระหว่างภาชนะ มันจึงลอยอยู่ได้

แต่พอแผ่นวุ้นมีความหนาระดับหนึ่ง มันจะค่อยๆจมลง ขณะเดียวกันจุลินทรีย์ ก็ต้องสร้างวุ้นเพิ่มขึ้น เพื่อรับอากาศบนพื้นผิวให้จงได้ เวลา เราเลี้ยงหรือหมักไว้นานๆ แผ่นวุ้นจะหนาขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเป็นสายพันธุ์ที่ผลิตวุ้นได้มาก ได้เร็ว เช่น Acetobactor xylinum จะเกิดแผ่นวุ่นได้เร็วมาก แผ่นวุ้นก็คือ เซลลูโลสธรรมดา ที่ร่างกายเราไม่สามารถย่อย หรือนำเอาไปใช้ได้เลย แม้กระทั่งจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในร่างกาย ก็ไม่มีความสามารถย่อยเอาเซลลูโลสนี้ไปใช้ได้    มีมนุษย์หัวใสหลายๆต่อหลายคน เอาเรื่องวุ้นที่ได้จากการหมักไปสร้างเรื่องสร้างนิยาย เพื่อหลอกคน เพื่อโน้มน้าวความสนใจ บ้างก็บอกว่า เป็นเห็ดรัสเซีย

การเกิดของครีมมหาอมตะ

ระยะแรกๆมันจะมีฟองขึ้นมา เพราะจุลินทรีย์อย่างอื่นคายก๊าซคาร์บอนได้ออกไซด์ออกมา เห็นเป็นฟอง ระยะหลัง หากทำการคน ฟองมันก็จะน้อยลงหรือไม่มี   ระยะแรกๆ จุลินทรีย์ยูเอ็มนั้น มันจะทำงานทุกตัว ดังนั้น ระยะแรกๆ จึงมีเอ็นไซม์จากจุลินทรีย์ทุกชนิด ครบถ้วนสมบูรณ์ แต่พอนานเข้า ในเมื่อจุลินทรีย์มันเจริญเข้าไปแย่งชิงอาหารกันเยอะๆ จุลินทรีย์บางตัว เช่น พวก Pediococcus spp., Lactobacillus sp. มันก็จะสร้างกรดขึ้นมา ทำให้จุลินทรีย์บางชนิดทนกรดไม่ได้ มันก็จะหายไป มนุษย์ต่างหาก ที่ไปสร้างกฏเกณฑ์ของสายตาที่ไม่ถูกต้อง ไปคิดเอาสารพัดเหตุผลมาพูด  เห็นมีฝ้า มีฟอง ก็คิดว่า มันเสีย แล้วคนที่เขามีผลประโยชน์หรือนักวิชาเกินทั้งหลายก็มาสำทับอีกว่า มันเป็นโน่นเป็นนี่ ผลสุดท้าย คนทำก็ปอดแหกไป เห็นอะไรที่เกิดขึ้นมา แล้วดูไม่น่ากิน ก็เหมาเอาว่า สิ่งนั้นสิ่งนี้ใช้ไม่ได้ จริงๆแล้ว หารู้ไม่ว่า นั่นแหละคือ สุดยอดของมัน ซึ่งหมายถึงว่า จุลินทรีย์ที่มันกำลังเจริญในระยะแรกๆนั้น จะมีเอ็นไซม์สูงกว่า ที่เราปล่อยไว้ให้ตัวใดตัวหนึ่งตายไป ก็เท่ากับเอ็นไซม์หายไปด้วย
คนก็ยังยึดติดว่า การทำเอ็นไซม์ต้องหมักนานๆ ใช่ หากเริ่มจากเชื้อป่า หรือเชื้อธรรมชาติ  อย่างนั้น ต้องหมักจนเชื้อโรคตายแล้วจะได้เชื้อน้ำส้มสายชู อย่างนั้น ต้องหมักนาน  แต่หากเราหมักโดยจุลินทรีย์บริสุทธิ์ หมักเพียงไม่กี่ชั่วโมง หมายถึงว่า สองชั่วโมง ก็ใช้ได้แล้วใครก็ตาม ที่เข้ารับการอบรมจากอานนท์ไบโอเทค มักจะได้ลองทานน้ำย่านางแดงก็ดี น้ำฟักข้าวก็ดี ของเหล่านี้ ผ่านการหมักเพียง 2-3 ชั่วโมงเท่านั้น