เอ็นไซม์ ตอนที่ 5

ดร.อานนท์ เอื้อตระกูล
Sun Nov 21, 2010 1:00 pm

การเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับจิตใจ

สมองเป็นศูนย์รวมการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในระบบประสาท สมองเป็นส่วนที่ทำให้เกิดความคิด ความคิดจะถูกแสดงออกมาในรูปของการกระทำ สิ่งดังกล่าวเป็นสิ่งจำเป็นต่อร่างกาย เนื่องด้วยความจริงที่ว่า สมองของเรานั้นมีขนาดเพียง 2 % ของน้ำหนักร่างกาย แต่สมองใช้ออกซิเจนและเลือดมาหล่อเลี้ยงมากถึง 20 % ของปริมาณทั้งหมด สมองมีลักษณะนิ่มฟู สีเทาอมชมพู น้ำหนักของสมองในเด็กวัยรุ่นโดยเฉลี่ยเท่ากับ 3 ปอนด์ เซลล์สมองจะทำงานร่วมกันอย่างถูกต้อง และทำงานประสานกันเหมือนกับการต่อตัวปริศนา การทำงานของเซลล์สมอง จะทำงานเพื่อให้สมองสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

ไม่เพียงแต่น้ำหนักหรือขนาดเท่านั้น ที่จะบอกถึงความเฉลียวฉลาด ในแต่ละคน เพราะขนาดของเซลล์สมองไม่สำคัญ ปริมาณของเซลล์สมองต่างหากที่เป็นสิ่งสำคัญ สมองของมนุษย์และสัตว์ชั้นสูง ไม่ได้สร้างขึ้นมาสมบูรณ์แบบตั้งแต่กำเนิด สมองเปรียบเสมือนมีชีวิตเป็นของตัวเอง มีการเจริญเติบโต เราสามารถเริ่มมองเห็นสมองได้ในตัวอ่อนที่อยู่ใน ครรถ์อายุ 2 สัปดาห์ เยื่อสีเทาบางๆของส่วนคอร์เทกซ์ (cortex) จะเริ่มแผ่ขยายครอบคลุมส่วนคอร์เทกซ์ไว้ ต่อมาจะเริ่มมีรอยหยัก และวางตัวอยู่บนส่วน cerebrum เมื่อแรกเกิด ส่วนหัวของเด็กทารกจะมีขนาดเท่ากับ 1 ใน 3 ของทั้งร่างกาย สมองของเด็กทารก เปรียบเสมือนเมล็ดพันธุ์ที่จะสามารถเจริญได้อีกต่อไปเรื่อยๆ ซึ่งในตอนนี้จะมีน้ำหนักเพียง 25 เปอร์เซนต์เท่านั้น เมื่อเปรียบเทียบกับสมองของผู้ใหญ่ คล้ายกับการเจริญของกล้ามเนื้อที่ต้องมีการออกกำลังกาย โครงสร้างของสมองจะถูกสร้างขึ้นตามการพัฒนาของสภาพจิต โดยโครงสร้างดังกล่าวจะถูกพัฒนาอย่างรวดเร็วในช่วงวัยเด็กก่อนเข้าโรงเรียน และจะมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งชีวิต 50 เปอร์เซนต์ของความสามารถในการพัฒนาสมองที่เกิดจากกรรมพันธุ์ และอีก 50 เปอร์เซนต์เกิดขึ้นจากการเรียนรู้ เมื่อเวลาผ่านไปสมองจะปรับเปลี่ยนโครงสร้างของตนเอง ให้เป็นเหมือนอวัยวะส่วนหนึ่ง ภาษาที่เราพูด ภาพที่เราเห็น และความคิดที่เรามี จะสร้างให้เกิดการพัฒนาและมีรอยหยักโค้ง สมองถูกป้องกันจากสารบางอย่างในกระแสเลือด อันอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสมอง โดย blood-brain barrier อวัยวะนี้จะช่วยป้องกันสารพิษให้สมอง หรือยับยั้งให้สารพิษเหล่านั้น ผ่านไปได้อย่างช้าๆ โดยอาจต้องใช้เวลาหลายวัน แต่ถ้าสารพิษแทรกซึมเข้าไปในอวัยวะอื่นๆ อวัยวะนั้นอาจถูกปิด กั้นการติดต่อกับสมองได้

Hypothalamus เป็นอวัยวะที่มีขนาดเท่ากับก้อนน้ำตาลอยู่ที่ตำแหน่งด้านล่างของสมองส่วน cerebrum ถึงแม้ว่าจะมีขนาดเล็ก hypothalamus ก็ทำหน้าที่ในการควบคุมการทำงานหลายอย่าง รวมถึงการไหลเวียนของเหลวในร่างกาย การควบคุมเมตาบอลิซึมของไขมันและคาร์โบไฮเดรต การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และการควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย และยังเกี่ยวข้องโดยตรงกับการตื่นตัวและการพักผ่อน ความอยากอาหารและการย่อยอาหาร ความต้องการทางเพศ การมีประจำเดือนและกระบวนการสืบพันธุ์ นอกจากนี้ hypothalamus ยังถูกเรียกว่า เป็นสมองส่วนแสดงอารมณ์ อวัยวะที่น่าทึ่งนี้เป็นศูนย์รวมการทำงานของระบบประสาท และเป็นส่วนควบคุมการนอน การตื่น ความรู้สึกตื่นตัว และปฏิกิริยาเจ็บปวดหรือพึงพอใจต่างๆ ถ้าไม่มีอวัยวะส่วนนี้ ก็ไม่สามารถเขียนหนังสือเล่มนี้ได้ ทุกๆที่กล่าวไปทั้งหมด ล้วนเกี่ยวข้องกับ hypothalamus
ความเกี่ยวพันระหว่างสมองกับร่างกาย และกล่าวถึงเอ็นไซม์ว่า มีผลอย่างไรในการช่วยการทำงานของสมอง อาหารคือ สิ่งที่ท่านบริโภคเข้าไปในร่างกาย โดยจะให้สารอาหารเพื่อเสริมสร้างเนื้อเยื่อหรือเซลล์ ดร. William H. Phipoot และ ดร. Dwight K.Kalita กล่าวไว้ในหนังสือ “ภูมิแพ้สมอง” ไว้ว่า คนเราไม่สามารถมีอาการขาดสารอาหาร ได้รับสารพิษ ได้รับการติดเชื้อ หรือเสพติดอาหารหรือสารเคมีบางชนิด โดยไม่มีความทุกข์ทรมานกับโรคภัยที่จะก่อให้เกิดความเจ็บป่วยเรื้อรังต่อไปได้

By OpenStax College – Anatomy & Physiology, Connexions Web site. http://cnx.org/content/col11496/1.6/, Jun 19, 2013., CC BY 3.0, https://commons.wikimedia.org/w/index.php?curid=30148141

สิ่งที่ดีที่สุดคือ การให้อาหารเสริมกับ hypothalamus เพื่อส่งผลให้เกิดความสมดุลย์ของร่างกาย ผู้คนทั่วไปจะคิดว่าการกินน้ำตาลก็เพียงพอที่จะเป็นแหล่งพลังงานให้กับระบบต่างๆในร่างกาย แต่สมองต้องการอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและต้องการได้รับออกซิเจนในปริมาณมาก ถ้าระบบการย่อยอาหารและการรวบรวมสารอาหารไม่ดีก็จะส่งผลต่อสมอง อาหารชิ้นเล็กชิ้นน้อย ที่ผ่านการย่อยไม่สมบูรณ์ที่เล็ดลอดอยู่ในกระแสเลือด จะไม่สามารถเข้าสู่สมองได้ เนื่องจากมีตัวกรองคอยป้องกันไว้ ดังนั้น  hypothalamus จะเป็นตัวทำหน้าที่ควบคุมระบบต่อมไร้ท่อ และระบบประสาท ที่เป็นระบบสำคัญในร่างกาย ดังนั้น เราจึงควรให้อาหารที่ดีที่สุดแก่สมองของเรา

Public Domain, https://commons.wikimedia.org/w/index.php?curid=295383

กรณีศึกษา

มีกรณีหนึ่ง ลูกชายมีอาชีพเป็นหมอและตรวจพบว่า พ่อเป็นโรคความจำเสื่อม (Alzheimer ด้วยความหวังที่จะหาหนทางรักษาตามวิธีธรรมชาติบำบัด ที่เสริมสร้างความแข็งแรง ด้วยการเสริมอาหารและความแข็งแรง พร้อมทั้งทำการล้างพิษออกจากร่างกาย ปรากฏว่า เกิดความมหัศจรรย์ที่คาดไม่ถึงของการใช้เอ็นไซม์ที่ได้จากการหมักจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ รวมทั้งถึงจุลินทรีย์ที่ใช้หมักทำนมเปรี้ยวและยีสต์ โดยกลุ่มเอ็นไซม์ดังกล่าวสามารถทำทั้งสองสิ่งได้ในเวลาเดียวกัน

การเสริมเอ็นไซม์ที่มีประสิทธิภาพสูง และการวางแผนการกินอาหารอย่างเคร่งครัด โดยก่อนที่จะเริ่มเข้าโปรแกรมการบำบัดด้วยเอ็นไซม์ เขาไม่สามารถจำชื่อลูกๆได้เลย และไม่สามารถอ่านหนังสือหรือดูโทรทัศน์ได้นานๆ หลังจากที่ผ่านการบำบัดด้วยเอ็นไซม์ในระยะเวลา 2-3 สัปดาห์ เขาสามารถเขียนข้อความถึงภรรยา และดูโทรทัศน์ได้ในระยะเวลานานขึ้น และภายใน 9 สัปดาห์ เขาสามารถกลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้งหนึ่งอย่างเหลือเชื่อ

นี่คือ ความมหัศจรรย์ของการใช้เอ็นไซม์บำบัด โดยไม่ได้เป็นเรื่องลึกลับซับซ้อน หรือเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยากเลย ทั้งนี้เพราะ ความเสื่อมของร่างกาย ความแก่ ความเมื่อยล้าและการเป็นโรคต่างๆ ล้วนแล้วแต่เป็นผลอันเนื่องมากจาก ความบกพร่องของเอ็นไซม์ภายในร่างกาย ที่ร่างกายของคนเราสร้างให้ไม่เพียงพอ และเราก็ไม่ตอบสนองความต้องการด้วยการเสริมเข้าไป โดยเฉพาะผู้ที่รับประทานอาหารที่ปรุงให้สุกแล้ว ดังนั้น การเสริมเอ็นไซม์เข้าไป เอ็นไซม์จะเข้าไปกระตุ้นให้ร่างกายทำงานตามปกติ โดยไปซ่อมแซมส่วนต่างๆที่สึกหรอ ไปสร้างเซลล์เพิ่มเติมในส่วนที่หายไป และนำสารอาหารไปหล่อเลี้ยงร่างกาย รวมทั้งนำเอาออกซิเจนไปสู่ส่วนต่างๆ พร้อมกันนั้น ก็นำเอาของเสียออกไปกำจัดในอวัยวะต่างๆที่มีหน้าที่ จึงทำให้การดำเนินกิจกรรมต่างๆเป็นไปตามปกติ หากมีการเสริมเอ็นไซม์เข้าไปอย่างต่อเนื่องและในปริมาณที่เพียงพอ

Fibromyalgia (FM) ไฟโบรมัยอัลเจีย

FM เป็นโรคป่วยเรื้อรังที่ไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งไม่ได้เกิดจากรูปแบบของ muscular rheumatism โดยแท้จริงแล้วเกิดจาก neurotransmitter dysfunction ซึ่งจะส่งผลต่อการควบคุมสมาธิ
ระบบประสาทประกอบด้วยสมอง ไขสันหลัง และเส้นประสาทต่างๆ โดยทั่วไปแล้ว ระบบประสาทจะทำงานประสานกลมกลืนกัน และจะทำงานเกี่ยวกับการสื่อสารและประสานงานระบบต่างๆในร่างกาย ระบบประสาทจะถ่ายโอนข้อมูลต่างๆไปสู่สมอง และสมองจะส่งคำสั่งต่างๆกลับออกมา โดยจะมีอีก 2 ระบบย่อย ที่จะช่วยในการจัดการกับหน้าที่การทำงานที่ซับซ้อนของร่างกาย

ระบบแรก คือ ระบบประสาทอัตโนมัติ

ระบบนี้ ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของจิตใจ แต่จะทำหน้าที่ดูแลส่วนต่างๆของร่างกาย ที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของจิตใจ เช่น การหายใจ และการเต้นของหัวใจ

อีกระบบหนึ่ง ได้แก่ ระบบประสาทที่อยู่ภายใต้การควบคุมของจิตใจ

โดยจะรวมถึง motor nerve และ sensory nerve อีกทั้งยังช่วยในการเคลื่อนไหวของร่างกายและช่วยในการขนส่งข้อมูลต่างๆสู่สมอง โดยมีจุดศูนย์กลางในการควบคุมทั้ง 2 ระบบนี้ที่ hypothalamus
ความไม่สมดุลย์ของระบบประสาท ส่งผลต่อระบบการย่อยอาหารของร่างกายจริง การกินอาหารในระหว่างที่คุณอยู่ในภาวะโศกเศร้าเสียใจนั้นไม่ใช่เป็นความคิดที่ดีนักเลย

  เมื่อร่างกายของคุณมีแต่ความเครียด ระบบต่างๆในร่างกายคุณจะถูกกระตุ้นให้ทำงาน ระดับของฮอร์โมนอีพิเนฟริน(epinephrine)ในกระแสเลือดจะสูงขึ้น   จะส่งผลให้เกิดการเพิ่มการทำงานของกล้ามเนื้อ ดังนั้น น้ำตาลกลูโคสที่เก็บสะสมอยู่ภายในตับ จะถูกดึงออกมาเพื่อนำไปใช้เป็นพลังงาน ในการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อเหล่านั้น อัตราการเต้นของหัวใจและการหายใจจะเพิ่มสูงขึ้น แต่อัตราการย่อยอาหารกลับลดลง หลอดเลือดมีการหดตัว โดยจะเป็นสาเหตุให้มีเหงื่อออกตามผิวหนัง ดังนั้นอุณหภูมิของร่างกายจะต่ำลง ขณะที่ท่านอยู่ในภาวะเครียด ทำให้สภาวะของร่างกายในตอนนี้ เกิดการทำงานที่ผิดปกติไปจากเดิมได้อยู่ตลอดเวลา

จากที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น ร่างกายมีระบบที่จะช่วยป้องกันสภาพดังกล่าว ระบบประสาท  parasympathetic มีความสามารถในการป้องกันกระบวนดังกล่าวข้างต้น โดยการเพิ่มอัตราของปฏิกิริยาต่างๆในร่างกาย ระบบประสาทนี้เป็นส่วนหนึ่งของระบบประสาทอัตโนมัติ ที่อยู่ภายในสมองส่วนกลาง ส่งผลในการช่วยลดการขยายตัวของม่านตา ลดอัตราการเต้นของหัวใจ และกระตุ้นต่อมต่างๆที่มีหน้าที่ในการย่อยอาหาร ถ้าสภาวะเครียดที่เกิดขึ้นไม่รุนแรงมากนัก ร่างกายก็สามารถกลับคืนสู่สภาวะปกติได้อย่างรวดเร็ว ในการทำงานของระบบประสาทดังกล่าว จะถ่ายทอดคำสั่งจากสมองสู่กล้ามเนื้อต่างๆ โดยผ่านเส้นประสาทสั่งการ (motor nerve) เส้นประสาทสั่งการเพียง 1 เส้น อาจจะควบคุมการทำงานของเส้นใยกล้ามเนื้อถึง 1,000 เส้นเลยทีเดียว

ทุกๆส่วนของระบบประสาทจะทำงานประสานกันเสมอ การทำงานร่วมกันดังกล่าว จะทำให้เราเกิดความคิด ความรู้สึก และการแสดงออก ในระดับที่มีความซับซ้อนได้โดยไม่สับสน เมื่อสภาวะการทำงานของสมองเกิดผิดปกติไปจากเดิม จะเป็นผลมาจากอวัยวะบางส่วนของระบบประสาทเสียหาย หรือเป็นผลมาจากการคุกคามของโรค หรือการได้รับอุบัติเหตุ ได้แก่ อัมพาต  seizures  หรือเส้นประสาทรับความรู้สึกไม่สามารถทำงานได้ การที่เรารู้สึกว่าตกอยู่ในสภาวะประสาทเสียนั้น หมายถึง เรากำลังตกอยู่ในสภาวะที่มีการตื่นตัวและกระวนกระวายของจิตใจและร่างกายนั้นเอง
ระบบประสาท จะได้รับสารอาหารจากที่เรารับประทานเข้าไปและเอ็นไซม์จะเป็นตัวพาสารอาหารเหล่านั้นไปสู่ระบบประสาท เอ็นไซม์ยังช่วยในการติดต่อสื่อสารของเส้นประสาทต่างๆ การเจ็บป่วย จะส่งผลต่อการทำงานของระบบประสาทได้

ทางแก้ไขที่ดีที่สุด ในการรักษาโรควิตกกังวลคือ การหาสาเหตุของอาการเหล่านั้น โดยจำแนกลักษณะของตัวท่านเอง ลองสำรวจดูตัวเองว่ามีอาการแพ้อาหารหรือไม่ และพิจารณาถึงอาหารที่ท่านเลือกทานในแต่ละมื้อ การกระทำดังกล่าวสามารถช่วยบรรเทาอาการวิตกกังวลได้

ความอ่อนแอ : สาเหตุของโรควิตกกังวลและโรคประสาท

ความอ่อนแอจะเป็นชนวนให้เกิดความวิตกกังวล และจะเกิดขึ้นได้กับตัวเราเองจากหลายสาเหตุ เช่น การกินอาหารมากเกินไป การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ น้ำตาล อาหารปรุงสุก เกลือ คาเฟอีน ยาสูบ ยา และน้ำที่ไม่สะอาด หรือแม้กระทั่งการทำงานหนัก ความวิตกกังวล ความเครียด ความกดดัน หรือการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ ถ้าท่านสามารถลดสิ่งที่กล่าวมานี้ได้ อาการปวดหัวและความรู้สึกท้อแท้ก็จะเริ่มทุเลาลง ท่านอาจจะคงเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า “ท่านต้องรู้สึกแย่ ก่อนที่ท่านจะได้รับรู้ถึงความรู้สึกที่ดี“ หรือ “ท่านต้องป่วยอย่างหนักก่อนที่ท่านจะรู้สึกสบายตัว” และเชื่อว่าโรคภัยไข้เจ็บที่เราประสพพบเห็นอยู่ในสังคมของเราอยู่ทุกๆวันนี้ เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ร่างกายเราอ่อนแอ

ในระหว่างการรักษา ผู้ป่วยบางรายไม่มีความต้องการที่จะเคลื่อนไหวร่างกาย ส่วนใหญ่จะตกอยู่ในภาวะเศร้าซึม ความอ่อนแอ และความรู้สึกขาดความเข้มแข็งที่จะใช้ในการดำเนินชีวิต ในบางครั้งมันก็ยากที่จะยอมรับถึงความจริงที่ว่า ความรู้สึกไม่สบายเป็นเรื่องปกติ เพราะเมื่อเรามีสารพิษอยู่ในร่างกายมาก เราก็รู้สึกแย่มากเหมือนกัน

การที่ผู้ป่วยยังรู้สึกป่วยหรือเมื่อยล้า หลังจากที่ได้ผ่านการรักษาไปแล้วนั้น เป็นเพราะเอ็นไซม์ที่ใช้ยังไม่เหมาะสมต่อความต้องการของเขา ร่างกายของเขายังคงอยู่ในสภาวะที่เรียกว่า catabolic state โดยสภาวะนี้ จะมีการดึงเอาพลังงานในร่างกายออกมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นที่เนื้อเยื่อหรือข้อต่อต่างๆ อย่างไรก็ตาม เมื่อลูกค้าได้รับเอ็นไซม์ตามความเหมาะสม จะส่งผลให้เกิดความแข็งแรงแก่เขาอีกครั้ง

ผู้ป่วยจะอยู่ในช่วงฟื้นตัวและเป็นระยะที่เอ็นไซม์กำลังทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ป่วยที่ได้เรียนรู้ถึงประโยชน์ในข้อนี้ จะกลับเข้ามาอีกเป็นครั้งที่ 2 หรือต่อๆไป มีบ่อยครั้งที่เขาจะกลับมาพร้อมกับคำถามเรื่องอาหาร ก็นับว่าเป็นประโยชน์ในการสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่พวกเขาว่าตอนนี้สุขภาพของเขาอยู่ในเกณฑ์ที่ดีหรือไม่ อีกหนึ่งเดือนต่อมา พวกเขาก็กลับมาหาอีกเป็นครั้งที่ 3 สภาพร่างกายของพวกเขาตอนนี้เปลี่ยนเข้าสู่สภาวะ anabolic state เป็นระยะที่มีการเปลี่ยนสารอาหารให้กลายเป็นองค์ประกอบของร่างกาย เช่น เนื้อเยื่อ และยังเป็นระยะที่บอกถึงการมีสุขภาพที่ดี จากวันนั้นถึงวันนี้ ท่านสามารถดูแลและเสริมสร้างสุขภาพของท่านได้อย่างต่อเนื่อง ท่านจะมีความรู้ในการจัดการกับไข้หวัดเล็กๆน้อยๆ หรืออาการอื่นๆ ถ้าอาการไม่สบายดังกล่าวเกิดขึ้นกับท่านอีก ท่านก็จะสามารถจัดการโดยนำเอ็นไซม์มาช่วยรักษาได้อย่างง่ายดาย

การพยายามที่จะให้หลักการแก่ผู้ป่วย เพื่อให้เขาได้เรียนรู้และเป็นการกระตุ้นอีกทางหนึ่ง แต่จะเป็นความรับผิดชอบของเขาเองที่จะพัฒนาตนเอง และก็อยากเห็นลูกค้ารู้สึกสบายใจ ที่จะถามคำถามเกี่ยวกับเรื่องการดูแลสุขภาพและการรักษาสมดุลย์ของร่างกาย
เสมือนกับการเป็นครูที่สอนวิธีเสริมสร้างสุขภาพที่ดี พบว่า เราต้องอดทน ละเอียดรอบคอบ และมีจิตใจที่ดี โดยการเรียนรู้ถึงการกินอาหารจากธรรมชาติเพื่อเสริมสร้างสุขภาพ

ไม่มีโรคที่รักษาไม่หาย มีเพียงแต่คนที่รักษาไม่หายเท่านั้น

มีผู้ป่วยบางรายเข้ามารักษาหลังจากที่เขาได้พบแพทย์และต้องกินยามาหลายปี แต่พวกเขาก็ยังคงไม่สบายและไม่เคยรู้สึกดีขึ้นเลย

มื่อพวกเขาได้รู้ถึงเรื่องเอ็นไซม์บำบัด พวกเขากลับคาดหวังที่จะรู้สึกดีขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน แต่มันเป็นไปไม่ได้ เมื่อถึงเวลาที่ท่านตัดสินใจ ที่จะเริ่มต้นเป็นคนใหม่และมีสุขภาพที่ดีขึ้น ท่านจะต้องมีความเข้มงวด ที่จะทำตามโปรแกรมที่วางไว้ได้เป็นอย่างดี จงอย่าคิดว่ามันเป็นอาหารที่นิยมเพียงชั่วระยะหนึ่ง แต่ให้คิดว่ามันเป็นสิ่งที่ท่านต้องการและเหมาะสำหรับร่างกายของท่าน ท่านอาจจะไม่สามารถเปลี่ยนลักษณะของร่างกาย ครอบครัว หรือความเข้มแข็งหรือความอ่อนแอของตัวท่านเองได้ โดยการเปลี่ยนแปลงสิ่งที่อยู่ในใจ

บางสิ่งที่มีอยู่ในชีวิตของเรานั้นได้มาจากกรรมพันธุ์ ต่อมาเมื่อท่านเข้าใกล้สู่สภาวะสมดุลย์ มันจะเป็นสิ่งที่ยากอย่างมาก ที่จะแจกแจงถึงลักษณะร่างกายของท่าน โดยทั่วไปการที่จะให้ผู้ป่วยใช้เอ็นไซม์เป็นระยะเวลา 6-9 สัปดาห์เป็นเรื่องที่ค่อนข้างลำบาก แต่ถ้าพวกเขามีความก้าวหน้าในการรักษา ก็จะจัดให้เขาอยู่ในโปรแกรมคงสภาพ

การเรียนรู้จะเริ่มต้นขึ้นเมื่อเราค้นพบความอ่อนแอ การสร้างทัศนคติที่ดี จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการรักษา ในความเป็นจริงแล้ว คนที่ตกอยู่ในสภาพวิตกกังวล ส่วนใหญ่จะลืมหายใจ! ออกซิเจนในเลือดจะเป็นตัวแปรสำคัญของสุขภาพ จึงไม่แปลกที่เราจะรู้สึกว่าไม่สบายหรือเมื่อยล้าเมื่อเราขาดออกซิเจน จุดประสงค์ของการหายใจคือ การรับเอาออกซิเจนเข้าสู่ร่างกาย เพื่อช่วยทำความสะอาดในกระแสเลือด การหายใจช่วยให้เรามีชีวิต สามารถกล่าวได้ว่า เราเรียนรู้ที่จะหายใจตั้งแต่วินาทีแรกที่เราเกิด และถ้าเราไม่หายใจเราก็ตาย มีรายงานว่า การเพิ่มจำนวนของเซลล์ที่ผิดปกติ ส่วนใหญ่เกิดจากการขาดออกซิเจน ปัญหาที่เกิดขึ้นในการหายใจ อาจเกิดเนื่องจาก ความไม่สมดุลย์ของกรดด่าง สามารถเกิดขึ้นได้จากการกินอาหารที่ไม่เหมาะสมต่อลักษณะของแต่ละบุคคล

มีอะไรเกิดขึ้นขณะที่เราหายใจ ส่วนอกจะถูกยกขึ้นและลงขณะที่กระบังลมจะขยายตัวออกและหดกลับเข้ามา จะทำให้เกิดสภาพสูญญากาศและจะดึงมวลอากาศเข้าสู่ปอด เมื่อเลือดเดินทางสู่ปอด ปอดก็จะรับและพาออกซิเจนไปสู่เซลล์ และในขณะเดียวกันก็พาคาร์บอนไดออกไซด์ที่ถูกขับออกจากเซลล์ออกมา กระบวนการนี้เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ โดยมีศูนย์ควบคุมการหายใจอยู่ที่อวัยวะที่เรียกว่า medulla oblongata (อยู่บนสมองด้านบนของไขสันหลัง) คาร์บอนไดออกไซด์จะเป็นตัวกระตุ้นศูนย์ควบคุมการหายใจ เมื่อมีปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดสูง ศูนย์ควบคุมการหายใจจะถูกกระตุ้นทำให้หายใจถี่ขึ้น ในทางกลับกัน เมื่อมีปริมาณออกซิเจนมาก อัตราการหายใจจะลดน้อยลง เพราะออกซิเจนไปยับยั้งการทำงานของ medulla อัตราการหายใจและปริมาณอากาศที่จะรับเข้าสู่ร่างกาย จะถูกปรับให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ถ้าอากาศโดยรอบสะอาด ก็จะทำให้ร่างกายสร้างพลังงานขึ้นมาอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น ในการปฏิบัติในการรักษาผู้ป่วยทั่วๆไป จะมีการกระตุ้นให้ทุกคนที่เข้ารับการรักษาใช้เวลาอยู่นอกบ้าน เพื่อที่จะได้รับอากาศที่สดชื่นเท่าที่จะเป็นไปได้

สังคมของเรายังตกอยู่ภายใต้ความวิตกกังวล หนทางใดที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง หนทางนั้นแหละ ที่จะเปลี่ยนแปลงท่านทำในสิ่งที่คุณรู้สึกพอใจ เพื่อที่จะก้าวผ่านความอ่อนแอ นั่นคือ เราควรเปลี่ยนอุปนิสัยการกินและทัศนคติต่อชีวิตของเรา

ทัศนคติ

ทุกๆครั้งเราจะบอกกับทุกคนว่า เราควรจะต้องทำอย่างไร เพื่อที่จะพัฒนาทัศนคติให้ดีขึ้น เพราะสิ่งนี้ เป็นจุดสำคัญในการปฎิบัติ เพื่อเสริมสร้างสุขภาพให้ดีขึ้น จงจำไว้ว่า ไม่มีโรคที่รักษาไม่หาย มีเพียงแต่คนที่รักษาไม่หายเท่านั้น มีคนประเภทที่เอาแต่เล่าถึงความเจ็บปวดของตนเอง แทนที่จะทำอย่างอื่น ทำไมล่ะ? ทำไมความคิดของพวกเขาจึงเป็นไปในทางที่ผิด พวกเขาซึมซับเอาความคิดนี้ และส่งผลร้ายให้กับตนเอง และทำให้ตัวเองเสมือนถูกล้างสมอง ซ้ำยังมีบางคนคิดว่า ความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติ

ในปัจจุบัน เราพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพมากพอกับที่เราพูดเรื่องดินฟ้าอากาศ ในวันรำลึกถึง ฟรอยด์ ( Freud : ซิกมันต์ ฟรอยด์ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านประสาทวิทยาชาวออสเตรีย ผู้ริเริ่มการตรวจแบบจิตวิเคราะห์) พวกเราคิดที่จะแก้ปัญหาดังกล่าว โดยการเข้าไปร่วมกับปัญหาเหล่านั้น และจากความพยายามของนักจิตเวชและนักประสาทวิทยาในการช่วยแก้ปัญหานี้ ทำให้เราไม่ตกอยู่กับสภาพจิตใจที่ย่ำแย่และมีชัยเหนือความล้มเหลวและสับสน ดร. อับบราฮัม มอสโลว์ เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านจิตวิทยา ได้เปลี่ยนแปลงทุกๆสิ่งที่ได้กล่าวมา ดร. มอสโลว์กล่าวว่า ลองคิดดูว่า อะไรที่เป็นหนทางใหม่ที่เราต้องการ เราต้องหยุดการอยู่ร่วมกับโรคและร่วมกับความกระวนกระวายใจ ถ้าเราต้องการให้คนเหล่านั้นกลายเป็นคนที่มีสุขภาพจิตที่ดี เราต้องเรียนรู้ถึงวิธีการดูแลสุขภาพ เพื่อไม่ให้ป่วย เราต้องไม่เลี้ยงโรคเอาไว้ แต่เราต้องวางแผนในการดำเนินชีวิต เพื่อให้มีสุขภาพจิตที่ดี ผู้ที่ใช้ปรัชญาของดร.มอสโลว์ สามารถเปลี่ยนสุขภาพใจไปในทางที่ดีได้

ผู้ที่ประสบความสำเร็จในการสร้างสภาพจิตให้อยู่ในสภาพเหมาะสม จะถือได้ว่า ผู้นั้นเป็นคนที่ไม่เคยมองกลับไปในอดีต แต่ได้วางแผนดำเนินชีวิตเพื่อส่งเสริมสุขภาพจิตที่ดีได้อย่างดีเยี่ยม โดยเขาได้มุ่งประเด็นไปที่การปรับปรุงระบบต่างๆของร่างกาย ตามหลักที่ว่าอาหารที่กินเข้าไปก็คือ พลังงาน สารอาหารที่ได้จากการกินอาหารจะให้พลังงานแก่เส้นประสาท และระบบต่อมไร้ท่อ

ร่างกายเราไม่สามารถใช้วิตามินสังเคราะห์ได้ดีมากนัก และอย่าคาดหวังว่า วิตามินเหล่านั้นจะถูกนำไปใช้ภายในเซลล์ ร่างกายไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อเก็บสะสมวิตามิน แต่ร่างกายจะขับวิตามินส่วนเกินนั้นออกมา โดยในกระบวนการดังกล่าว จำเป็นต้องใชัเอ็นไซม์ที่จำเป็นต่อกระบวนการสร้างเส้นประสาทและเนื้อเยื่อ เอ็นไซม์มีคุณสมบัติเป็นตัวพาที่ดีในธรรมชาติ

ถ้ามองโดยสัญชาตญาณพื้นฐานแล้วนั้น เราจะรู้สึกได้ว่าสารอาหารที่บริสุทธิ์เหล่านี้ จะได้รับแต่เพียงแหล่งเดียว คือ อาหารจากธรรมชาติ ถ้าท่านต้องการที่จะบำรุงประสาท ระบบภูมิคุ้มกัน และระบบต่อมไร้ท่อแล้วนั้น ท่านควรต้องได้รับสารอาหารเหล่านี้ ได้แก่ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมันบางชนิด เนื่องจากเส้นประสาทของท่านมีองค์ประกอบของโปรตีนและไขมันเป็นหลัก

กรณีศึกษา

ชายอายุประมาณ 70 ปี เขาสวมถุงมือตลอดเวลาและนั่งลงบนเก้าอี้อย่างระมัดระวัง เขามีความผิดปกติที่ myelin sheath ส่วนของ myelin sheath ที่หุ้มอยู่รอบเส้นประสาทโดยจะหุ้มอยู่เป็นระยะๆ และมีองค์ประกอบเป็นไขมัน กรดไขมันและโปรตีน เมื่อไม่มี myelin sheath ก็จะเหลือเพียงเส้นประสาทเปลือยๆ myelin sheath จะมีผลต่อความเร็วของการส่งกระแสประสาท เมื่อไม่มี myelin sheath ร่างกายเขาจะรับความรู้สึกได้เร็วขึ้นกว่าปกติ จะทำให้รู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมาก ลองนึกดูซิว่าท่านจะเป็นอย่างไร ถ้าท่านรู้สึกเจ็บปวดอยู่ตลอดเวลาเหมือนกับชายชราคนนี้ ในการดำเนินชีวิตของเขา เขาต้องระมัด ระวังในทุกๆเรื่อง ทุกๆอย่างที่เขาสัมผัส และทุกๆสิ่งที่จะมาสัมผัสตัวเขา อาการดังกล่าวนี้ ทำให้ความรู้สึกของเขาย่ำแย่ลง เขาใช้ยาในการรักษามาแล้วจนนับไม่ถ้วนและผ่านมือหมอมามากมาย ด้วยความสิ้นหวัง แพทย์ของเขาจึงแนะนำให้ลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอาหาร เมื่อแนะนำให้เขารับเอ็นไซม์ตามที่ร่างกายเขาต้องการ ผลที่ได้รับทำให้เขาประหลาดใจ การที่จะสร้าง myelin sheath นั้นต้องใช้ไขมัน กรดไขมัน และโปรตีน ดังนั้น เขาจึงกินอาหารที่อุดมได้ด้วยสารดังกล่าว นอกจากนี้เขายังกิน snicker bar และขนมหวานอื่นๆด้วย ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย ถึงอย่างนั้นก็ตาม เขาก็ยังไม่สามารถนอนหลับได้อย่างเป็นปกติ แน่นอนที่สุดเขาจะหลับตาลงได้อย่างไร เมื่อเขายังรู้สึกเจ็บปวดอยู่ตลอดเวลา

เมื่อเริ่มต้นทำการรักษา เราสามารถสังเกตเห็นได้ชัดเลยว่า เขามีชีวิตจิตใจที่เข้มแข็งขึ้น และพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อก้าวสู่ความสำเร็จ มีความน่ายินดีอยู่เรื่องหนึ่งคือ เราสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกินอาหารของเขาได้ นี่ถือเป็นชัยชนะ เพราะเมื่อก่อนนี้ เขาจะวางตัวอยู่ในวิถีทางของเขาเองและไม่เต็มใจนักที่จะเปลี่ยนแปลง เขาจะกินอาหารเมื่อเขาทำงานเสร็จเท่านั้น ดังนั้น เราจึงชดเชยการกระทำเหล่านี้ โดยการเสริมเอ็นไซม์ให้เขา

การรักษาโดยการใช้เอ็นไซม์บำบัดให้แก่เขานั้น เป็นไปอย่างเข้มงวด เขาต้องกินเอ็นไซม์กับอาหารที่ทานเข้าไป กินก่อนเข้านอน และหลังตื่นตอนเช้า เมื่อผ่านไป 2 สัปดาห์ เขารู้สึกดีขึ้นกว่าเดิมมากทีเดียว เขาหลับอย่างเป็นสุขตลอดทั้งคืนและอาการท้องผูกของเขาก็หายไปด้วย
เขายังทำอะไรต่างๆได้เป็นอย่างดี ไม่ต้องสวมถุงมือและทัศนคติของเขาดีขึ้น เขาเป็นคนประเภทที่เมื่อมีความสุข ก็จะแบ่งความสุขให้แก่คนอื่นและนั้นเป็นสิ่งที่น่ายินดี ที่เห็นเขาสนุกกับการใช้ชีวิตของเขา เขาได้ทำทุกๆอย่างที่เราเคยแนะนำให้แก่ผู้ป่วยรายอื่น

การขจัดอาการปวดหัว ไมเกรน

อาการปวดหัว เป็นหนึ่งในความเจ็บป่วยที่รู้จักกันดี คนส่วนมากจะไม่รู้ว่า อาการปวดหัวเกิดจากสิ่งผิดปกติภายในร่างกาย ท่านอาจจะรู้สึกเหมือนโดนแทงระหว่างตาทั้งสองข้าง เมื่อท่านกินอาหารที่เย็นจัด บางครั้งก็จะเกิดอาการยึดตัวของกล้ามเนื้อรอบๆศรีษะของท่าน
อาการที่กล่าวมานั้น เสมือนหนึ่งท่านขังตัวเองอยู่ในห้องมืด ลักษณะเช่นนี้ก็คือ เป็นอาการของโรคไมเกรน นั่นเอง ถ้าท่านต้องการทรมานกับอาการดังกล่าว ท่านลองรักษาตามวิธีที่แนะนำ หรือไม่ท่านก็ต้องอยู่กับมันตลอดไป หรือต้องกลับไปกินยาหลายชนิดแบบเดิม นับว่า เป็นการรักษาที่ยุ่งยากมาก อย่างไรก็ตาม อยากแนะนำว่า ถ้าท่านมีอาการปวดหัวมากกว่า 3 ครั้งต่อเดือน ท่านควรหาสาเหตุของอาการนั้น และมีรายงานอีกว่า การปวดไมเกรนบ่อยๆหรือปวดแบบตึงๆ นั้นสามารถเกิดขึ้นได้กับผู้ป่วย Fibromyalgia ถึง 50 เปอร์เซนต์

อาการปวดหัวสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท

1. อาการปวดหัวแบบตึงปวด : จะมีลักษณะตึงตามแรงดันที่เกิดขึ้นรอบๆหัว โดยจะได้รับแรงกระตุ้นจากความเครียด และจะมีอาการอยู่นาน 30 นาที ถึง 7 วัน ในรายที่รุนแรง จะเกิดอาการปวดตลอดทั้งวันและเกิดขึ้นทุกๆวัน
2. ไมเกรนรุนแรง : มีอาการปวดเป็นจังหวะๆ คลื่นไส้และมีความรู้สึกไวต่อแสงและเสียง ผู้ป่วยไมเกรนบางราย ต้องอยู่แต่ในห้องมืดจนอาการทุเลาลง อาจจะต้องใช้ 2 ชั่วโมง ถึง 3 วัน
3. การปวดแบบเป็นจุดๆ : จะเป็นสาเหตุหลักที่สร้างความเจ็บปวดให้แก่ด้านหลังหรือรอบๆดวงตา บางครั้งอาการปวดอาจแผ่ขยายไปทั่วขมับ กราม จมูก หรือฟัน โดยอาจมีอาการอื่นๆแทรกซ้อน เช่น การคลั่งของเลือดที่จมูก เหงื่อออก ตาแฉะ และหน้าบวม อาการอาจเกิดขึ้น 3 ครั้งต่อวัน โดยเกิดนาน 15-90 นาที จนถึง 16 สัปดาห์

แพทย์แนะนำผู้ป่วยที่มีอาการปวดหัวรุนแรง เขียนบันทึกของอาการปวด จะช่วยทำให้แพทย์ทราบถึงความรุนแรง ระยะเวลา อาการระดับที่ผู้ป่วยทนไม่ไหว และผลที่ได้รับจากการรักษา
ในบางครั้ง แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอาหาร การนอน หรือการทำงาน และแพทย์จะใช้การรักษาหลายวิธีร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นการรักษาทางกายภาพ การรักษาแบบ Biofeedback และการใช้ยาสำหรับการปวดหัวแบบตึงปวด จะใช้การรักษาทางกายภาพได้แก่ การใช้ถุงน้ำร้อน ถุงน้ำเย็น คลื่นอัลตราซาวด์ และการนวด ส่วนวิธี biofeedback จะเป็นวิธีที่ช่วยบรรเทาอาการลงได้ 80 เปอร์เซนต์ และยังเป็นวิธีเดียวเท่านั้นที่ใช้รักษาไมเกรน โดยไม่ต้องใช้ยาร่วม โดยอาจนำมาใช้ในการรักษาอาการปวดหัวแบบตึงปวด แต่ไม่สามารถใช้กับอาการปวดหัวแบบเป็นจุดๆ

สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดหัว
— ภูมิแพ้ — อาการเมาค้าง
— Arthritis — บาดแผลศีรษะ
— คาเฟอีน — ความดันโลหิตสูง
— ไข้หวัด — Hunger
— โรคภัย — ไซนัสอักเสบ
— Eye strain — TMJ

อาหารที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการปวดหัวได้แก่ เนยแข็งเก่า เนื้อรมควัน ช็อกโกแลต แอลกอฮอล์ โดยเฉพาะไวน์แดง ขนมปังโฮมเมด ลูกเกด อโวคาโด และผงชูรส
ผู้ที่มีอาการปวดหัวเรื้อรัง จะมีสภาวะอ่อนแออยู่เสมอ การดำเนินชีวิตและการกินอาหารแบบเดิมๆ ไม่สามารถช่วยรักษาอาการได้ ดังนั้น ผู้ป่วยจึงต้องทนอยู่กับอาการดังกล่าวตลอดเวลา นี่แสดงให้เห็นว่า ถึงเวลาแล้วที่ท่านต้องทำการเปลี่ยนแปลง สิ่งที่ควรจะเปลี่ยนอันดับแรกคือ พฤติกรรมการกินอาหาร น่าจะเป็นหนทางการรักษาที่ดีที่สุด ผลิตภัณท์ที่นำมาใช้ในการรักษาผู้ป่วยที่มีอาการปวดหัวนั้น จะช่วยให้ขั้นตอนในการรักษาง่ายขึ้น เมื่อเห็นผลที่ปรากฏขึ้นกับพวกเขา ที่ได้รับการรักษาแบบเอนไซม์บำบัดนั้น จะแสดงผลดีกับทุกคน ทำให้อาการปวดหัวและไมเกรนกลายเป็นอดีตสำหรับเขาไป
ดังนั้น จึงขอสรุปจากที่ได้กล่าวมาแล้วว่า สาเหตุของการปวดหัวเกิดขึ้นจากสองสิ่ง

ประการแรกคือ สารพิษที่มีอยู่ในร่างกาย มีผลในการขัดขวางต่อขบวนการย่อยอาหารของร่างกาย เป็นปัจจัยแรกที่ก่อให้เกิดอาการปวดหัว ประการที่สอง คือ ความเครียดที่ส่งผลต่อระบบประสาทและระบบต่อมไร้ท่อ เมื่อทำการรักษาโดยใช้เอ็นไซม์โปรตีเอส อาการปวดหัวจะค่อยๆหายไป และเมื่อใช้ต่อไป จะสามารถช่วยผู้ป่วยไมเกรนให้หายปวดหัวได้ แต่ถ้ายังมีอาการย้อนกลับมาอีก ท่านก็สามารถจัดการกับอาการดังกล่าวได้ด้วยตนเอง ขอให้จำไว้ว่า อาการปวดหัวเป็นอาการบ่งบอกถึงความผิดปกติบางอย่างของร่างกาย เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นได้เองตามปกติ

สิ่งสำคัญที่สุดที่ควรจำไว้คือ ความเครียดนั้น ไม่ได้เกิดจากปัจจัยภายนอก แต่มันเกิดขึ้นจากปัจจัยภายใน เป็นผลมาจากความผิดปกติของเซลล์และภาวการณ์ขาดโภชนาการ ความเครียดจะส่งผลให้อาการปวดหัว เมื่อยล้า วิตกกังวล หมดแรงและเกิดความผิดปกติบางอย่างต่อร่างกายได้ จะมีผลโดยตรงต่อสุขภาพ