เอ็นไซม์ ตอนที่ 4

ดร.อานนท์ เอื้อตระกูล

Sun Nov 21, 2010 12:54 pm

มะเร็ง คือ โรคที่ทำให้ถึงแก่ชีวิตจริงหรือ

เซลล์มะเร็งเกิดขึ้นจากผลของวัตถุ สารเคมี การติดเชื้อ และกลไกพันธุกรรม ที่ไปรบกวนการผลิตของเซลล์ การทำลายและการผลิตของเซลล์อย่างผิดปกติ ไปแย่งอาหารเซลล์ปกติ ทุกคนอาจจะมี 100,000 ถึง 300,000 เซลล์ที่คล้ายมะเร็ง เจริญเติบโตในร่างกายที่ใดที่หนึ่งในขณะนี้ หมายความว่าท่านเป็นมะเร็งหรือไม่? คำตอบคือ ไม่ แต่หมายความว่า ท่านมีเซลล์ที่ไม่สมดุลย์และสามารถปฏิบัติตนคล้ายมะเร็ง

ถ้าร่างกายขาดการบำรุงและไม่ดูดซึมอาหารอย่างถูกต้อง รูปแบบของอาการอ่อนเพลียเรื้อรังและน้ำตาลในเลือดต่ำจะปรากฏขึ้น ผลผลิตจากการย่อยที่ไม่เหมาะสม จะไปขัดขวางลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ ทำให้เกิดท้องผูกและนำไปสู่ปัญหาใหญ่ การย่อยสลาย การเน่าเปื่อย การเน่าเหม็นของอาหารคาร์โบไฮเดรตไม่ย่อย เช่น น้ำตาลและการย่อยแป้ง โปรตีนไม่ย่อย การเน่าเปื่อยและไขมันไม่ย่อย เปลี่ยนเป็นกลิ่นเน่าเหม็นในทางเดินอาหาร มะเร็งไม่ว่าชนิดไหน ก็เร่งเชื้อไร้อากาศทำงานในขบวนการเน่าเปื่อยหรือการย่อยสลายเชื้อไร้อากาศ สิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก ที่อาศัยการเจริญเติบโตในที่ที่ไม่มีออกซิเจน เซลล์ปกติจะเจริญในที่ที่มีออกซิเจนและเซลล์มะเร็งจะเจริญในที่ที่ไม่มีออกซิเจน เซลล์พวกนี้จึงมีมากในสิ่งแวดล้อมที่เน่าเหม็นและมีการย่อยสลายอาหารที่ไม่ย่อยสลาย จึงสร้างสิ่งแวดล้อมนี้ขึ้นมา

เมื่อไหร่ที่มีกรณีนี้เกิดขึ้น ร่างกายจะส่งสัญญาณไปขอความช่วยเหลือจากเอ็นไซม์กลุ่มหนึ่ง ที่จะไปทำปฏิกิริยาและทำลายเซลล์ที่คล้ายมะเร็ง เซลล์ที่คล้ายมะเร็งเซลล์ใหม่จะถูกสร้างอย่างสม่ำเสมอ แต่ถ้าเรามีสุขภาพดีและสมดุลย์ เอ็นไซม์จะสามารถจำแนกแยกแยะและทำลายพวกมันได้ โปรดเข้าใจว่า ถ้าเรามีระบบภูมิคุ้มกันที่ทำงานดีพร้อมกับมีการย่อยที่ดี ลำไส้ของเราก็จะปราศจากมะเร็ง
ถ้า

 ความสมดุลย์ถูกทำให้เสียด้วยนิสัยการกินที่ไม่ดี การสูบบุหรี่ ความเครียด ความแก่ และการมีชีวิตด้วยความกลัว  

  สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นเมื่อความสมดุลย์ระหว่างเซลล์คล้ายมะเร็งและระบบป้องกันร่างกายทรุดลง เซลล์คล้ายมะเร็งปกป้องตัวเองด้วยเส้นใยโปรตีนคล้ายกาว ที่ทำให้พวกมันมีความหนา 10 เท่าของเซลล์ปกติ เซลล์คล้ายมะเร็งหลบอยู่ใต้กาว เพื่อจะหลบหลีกการทำลายจากภูมิคุ้มกัน เซลล์มะเร็งเหล่านี้จะเดินทางไปทั่วร่างกาย เพื่อค้นหาที่ตั้งรกรากของมัน เมื่อมันไปติดกับส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย มันจะเพิ่มเส้นใยกาวและเร่งการเจริญเติบโตกลายเป็นเนื้อร้าย เซลล์มะเร็งทั้งดื้อด้านและแสนฉลาด พวกมันปลอมแปลงตัวมันเองได้เรียกว่า แอนติเจน

แอนติเจน คือ โปรตีนสารพิษ หรือสารที่มีน้ำหนักในโมเลกุลสูง ร่างกายจะทำปฏิกิริยาโดยการสร้างแอนติบอดี้ เมื่อเซลล์คล้ายมะเร็งถูกทำลาย แอนติเจนหลายเท่าจะเข้าไปแทนที่ เซลล์เหล่านี้ทนทาน  พวกมันจะทิ้งร่องรอยลวงไว้เพื่อที่ว่าพวกมันจะสร้างแอนติเจนใหม่ขึ้นมาที่ใดที่หนึ่ง เมื่อแอนติเจนมีมากกว่าที่ระบบภูมิคุ้มกันของเราจะจัดการได้ เราก็จะเผชิญกับปัญหาเนื้อเยื่อถูกทำลาย

เมื่อเซลล์มะเร็งเจริญเติบโต เพราะไม่มีเอ็นไซม์ไปต่อสู้กับพวกมัน ก็จะทำให้เซลล์มะเร็งเพิ่มจำนวนจนเป็นอันตรายต่อร่างกายได้ เซลล์มะเร็งสามารถป้องกันตัวเองได้โดยการสร้างเส้นใยคลุมไว้ การทำงานของเอ็นไซม์โปรตีเอส จะไปย่อยสลายเมือกที่เคลือบเซลล์มะเร็งออก จะทำให้แอนติบอดี้ ได้แก่ โลหิตขาวเข้าไปทำลายเซลล์มะเร็งผู้บุกรุกได้ ยิ่งมีผู้บุกรุกในร่างกายเรามากเท่าไหร่ เรายิ่งต้องการเอ็นไซม์ปกป้องคุ้มครองสุขภาพเรามากเท่านั้น

คำคมจากหนังสือ ดร.แมร์โร “อะไรที่แพทย์ไม่ต้องการจะบอกคุณ” (Harper & Row, 1990) “เส้นใยรอบเซลล์มะเร็งทำจากโปรตีน เอ็นไซม์โปรตีนโอไลติกสามารถย่อยสลายโปรตีนที่คลุมเซลล์มะเร็ง ทำให้เซลล์เม็ดเลือดขาวเข้าไปทำลายเซลล์มะเร็ง”

ในหนังสือ เอ็นไซม์ : เดอะ ฟาวเท่นออฟ์ไลฟ์ เขียนโดย D.A. Lopez, M.D., R.M. Williams, M.D., Ph.D., and Miehlke, M.D.; และตีพิมพ์ใน Neville Press อ้างอิงการค้นพบของแพทย์หลายคนดังนี้ “ เซลล์มะเร็งสามารถสร้างสิ่งเลียนแบบตัวเกาะของอวัยวะหนึ่งๆได้ จึงสามารถเข้าไปเกาะกับเซลล์ของอวัยวะนั้นๆ เอ็นไซม์สามารถแยกแยะระหว่างตัวเกาะจริง และของเลียนแบบโดยเซลล์มะเร็งได้ สามารถทำให้ตัวเกาะหลุดออก ทำให้ตัวปลอมก่อปัญหาได้น้อยลง”
จึงสรุปโดยพูดซ้ำความเชื่อว่า เอ็นไซม์จะเป็นตัวแทนการรักษาทางการแพทย์ที่แสนจะน่าตื่นตาตื่นใจ และจะเป็นการแพทย์ในอนาคต การใช้เอ็นไซม์จะเพิ่มขึ้นเท่าๆกับที่พวกเราเรียนรู้มากขึ้น เกี่ยวกับพยาธิสภาพของภูมิคุ้มกันของโรคผ่านการศึกษาทางคลินิกและทางวิทยาศาสตร์

ผลของเอ็นไซม์กับมะเร็ง
— เซลล์มะเร็งจะไวต่อเอ็นไซม์มากกว่าเซลล์ปกติ
— เอ็นไซม์สลายเส้นใยที่คลุมเซลล์มะเร็งออก ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงาน
— เอ็นไซม์สามารถกำจัดความสามารถของเซลล์มะเร็ง ในการเข้าไปจับกับอวัยวะหรือเนื้อเยื่อปกติ

กรณีศึกษา
มีผู้หญิงคนหนึ่ง ครอบครัวทางแม่มีประวัติเป็นมะเร็ง ส่วนพ่อก็มีประวัติเกี่ยวกับโรคหลอดเลือดหัวใจ ทุกวันนี้ คุณแม่ของเธอต้องทนทุกข์ทรมานจากโรคหัวใจโตและปัญหาลิ้นหัวใจ ขณะที่เธอมีอายุ 28 ปี เธอต้องผ่าตัดมดลูกออก แพทย์บอกว่าเธอมีแนวโน้มเอียงเป็นเซลล์ผิดปกติ เมื่ออายุ 30 ปีแพทย์แจ้งว่า เธอมีก้อนเนื้อที่เต้านมเป็นเซลล์ผิดปกติ แนะนำให้ฉายรังสีหรือผ่าออก สองปีต่อมา หลังการตรวจโรคและวิเคราะห์ผลที่ออกมา พบว่า เธอเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ ด้วยอายุที่ยังไม่มากนักและความรับผิดชอบที่เธอมี  เธอจึงตัดสินใจ

ปฎิเสธการรักษาด้วยการผ่าตัด แต่เลือกทำการรักษาเยียวยาร่างกายด้วยการเปลี่ยนแปลงอาหารการกิน จิตใจ และการมองชีวิตในแง่บวกแทน และเธอก็พบการรักษาด้วยเอ็นไซม์ เมื่อยิ่งมีการเรียนรู้เกี่ยวกับการป้องกันมากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งเชื่อว่ายังไม่สายเกินไปสำหรับเธอที่ได้เลือกเอาการรักษาด้านนี้

ภายใน 6 เดือนหลังการรักษาโดยใช้เอ็นไซม์ เธอกลับไปหาแพทย์ 2 คน เพื่อตรวจวินิจฉัย ทั้งสองให้ผลเหมือนกัน คือ เธอปราศจากโรคมะเร็ง ปัจจุบันเธออายุ 50 ปีกว่าแล้ว มีสุขภาพดี และมีความกระตือรือร้นเพื่อจะดำรงชีวิตตามปกติต่อไป
เอ็นไซม์ไม่เป็นเพียงแค่คำตอบสำหรับสุขภาพที่ดี ยังเป็นมากกว่านั้น สิ่งหนึ่งที่เราต้องเสริมสร้างและเยียวยาก็คือ การรับประทานและเสริมความแข็งแกร่งผ่านการย่อยอย่างมีประสิทธิภาพ อาหารทุกชนิดที่เรารับประทานต้องถูกย่อย ดูดซึมและนำไปใช้ เพื่อเป็นพลังงานเชื้อเพลิง ถ้าเราต้องการสร้างเซลล์ใหม่และจำเป็นสำหรับการมีชีวิตอย่างต่อเนื่อง

หลายปีก่อน นักวิทยาศาสตร์ไม่รู้จัก สารเคมีพืช วิวัฒนาการใหม่ในงานวิจัยเพื่อป้องกันมะเร็ง นิตยสารชื่อ Newsweek หัวข้อ “ Beyond Vitamins” ในวันที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2537 พูดถึงผักสดและผลไม้ เช่น มะเขือเทศ แอพริคอต และบล็อกโครี มี

สารเคมีพืชหลายพันชนิด สารเหล่านี้ทำงานโดยกระตุ้นเอ็นไซม์และกำจัดสารเคมีที่ทำให้เกิดมะเร็ง
วารสารทางการแพทย์ชื่อ The New England Journal of Medicine มีข้อความในแง่ลบเกี่ยวกับวิตามิน ที่รู้จักในนาม แอนตี้ออกซิแดนต์ คำตัดสินชี้ขาดที่รอคอยมานานใน “การปรึกษาหารือเรื่องวิตามิน” ว่า วิตามินไม่ได้ทำให้ได้ผลของการรักษาโรคร้ายหลายอย่างได้ผลตามปรารถนา อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์รายงานข้อมูล เรื่อง “ ยาเม็ดมหัศจรรย์” เหนือกว่าวิตามิน โดยมีส่วนประกอบที่เรียกว่า “ซัลโฟราแฟน” จากต้นบร็อกโคลี กระหล่ำดอก และกระหล่ำปลีชนิดหนึ่ง หัวผักกาด และกระหล่ำปลี โดยถูกค้นพบว่า สัตว์ทดลองจะไม่เป็นมะเร็ง ในคริสต์กาล 1900 (2443-2542) งานทดลองเกี่ยวกับเซลล์ในจานทดลอง ทำให้นักชีวเคมีเกิดความสงสัยว่าซัลโฟราเฟนทำงานได้อย่างมหัศจรรย์ โดยกระตุ้นกิจกรรมของทั้งสองเอ็นไซม์ เอ็นไซม์พวกนี้กำจัดความเป็นพิษของสารก่อมะเร็ง โดยจับเป็นโมเลกุลจะเคลื่อนย้ายสารก่อมะเร็งออกจากเซลล์ไปในที่ที่ไม่เป็นอันตราย

สารเคมีพืชในสตรอเบอร์รี องุ่น และราสเบอร์รี เป็นสารลบล้างสารก่อมะเร็งก่อนที่มันจะเข้าไปบุกรุกดีเอ็นเอ ถูกเรียกว่า ellagic acid ถึงแม้ว่าพวกมันล้มเหลวในการป้องกัน ยังคงมีสารต้านมะเร็งชนิดอื่นที่สามารถเข้าไปแทรกแซงได้ พ.ศ. 2536 นักวิจัยชาวเยอรมันประกาศว่า สามารถแยกสารเคมีจากถั่วเหลืองได้ โดยสารดังกล่าว สามารถช่วยป้องกันการจู่โจมของเซลล์มะเร็งในกระแสเลือด สารเคมีนี้ คือ ตัวยับยั้งการเจริญเติบโตของมะเร็ง

เอ็นไซม์จากจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ รวมทั้งจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดนมเปรี้ยวและยีสต์ที่อยู่ในระบบทางเดินอาหาร มีความสามารถเหมือน ซัลโฟราแฟนหรือสารเคมีพืช การออกฤทธิ์ในกระเพาะอาหาร จะช่วยการย่อยและสลายตัวของอาหาร การรับประทานเอ็นไซม์ในขณะที่ท้องว่าง จะช่วยกรองเลือด การทำงานของเอ็นไซม์เหมือนเก้าอี้ดนตรี โดยเอ็นไซม์จะแข่งกันไปที่เซลล์ที่มีฮอร์โมนทำให้เกิดมะเร็งทั้งเอสโตเจนและจู่โจมเมื่อดนตรีหยุด เอ็นไซม์จะรักษาฮอร์โมนจากการนั่งเกาะบนผิวเซลล์นั้นๆ เอ็นไซม์โปรตีเอสทำหน้าที่ที่สำคัญ เพราะคอยสลายผิว หรือสิ่งที่เคลือบผิวเซลล์มะเร็ง และเผยเซลล์มะเร็งต่อระบบภูมิคุ้มกัน

โรคหลอดเลือดหัวใจ

โรคหลอดเลือดหัวใจ ไม่ใช่โรคที่จำกัดแต่เฉพาะคนมีอายุเท่านั้น อายุมากหรือน้อยไม่ได้ทำให้เกิดโรคนี้น้อยหรือมาก การรักษาด้วยเอ็นไซม์สามารถรักษาโรคของเส้นเลือดแดงและดำได้สำเร็จ ในหนังสือเอ็นไซม์ Enzymes : The Fountain of life. Dr. Lopez, Williams, and Michlke เสนอหลักฐานเรื่องนี้ มีการศึกษาอย่างต่อเนื่องในยุโรป และอีกหลายการศึกษาในอเมริกา ที่สนับสนุนการใช้เอ็นไซม์ในการรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจ โดยอ้างอิงถึงการบรรยายของ Dr. Inderst ในวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2533 ที่กล่าวว่า

“การรักษาด้วยเอ็นไซม์เป็นการรักษาที่พิสูจน์แล้วว่า เป็นวิธีการที่เหมาะสำหรับโรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือด ช่วยลดการบวม กระตุ้นระบบเซลล์ เช่น เม็ดเลือดขาว โดยปราศจากผลข้างเคียงในระยะยาว

โรคหัวใจ

เป็นโรคที่ทำให้คนเสียชีวิตอันดับหนึ่งในอเมริกา โรคหลอดเลือดหัวใจ ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักในการเป็นผู้ไร้ความสามารถ เพื่อให้เข้าใจถึงความซับซ้อนและส่วนที่สำคัญมากในร่างกาย เราควรทำความเข้าใจถึงระบบหลอดเลือดหัวใจ
จุดสำคัญขั้นพื้นฐานของระบบคือ เพื่อลำเลียงเลือดส่งผ่านร่างกาย ประกอบด้วยหัวใจ หลอดเลือด และท่อน้ำเหลือง ระบบไหลเวียนส่งผ่านออกซิเจน สารอาหาร สารคัดหลั่งจากระบบภูมิคุ้มกัน ฮอร์โมนและสารเคมีที่จำเป็นสำหรับการทำงานของอวัยวะให้ทำงานปกติ มันจึงย้ายของเสียและคาร์บอนไดออกไซด์ออกไป ระบบที่แสนจะมหัศจรรย์ทำให้ร่างกายมีอุณหภูมิคงที่ และช่วยควบคุมให้น้ำและเกลือแร่สมดุลย์ (เกลือและโปตัสเซียม)

ในผู้ใหญ่โดยเฉลี่ยมีเลือด 6 ควอร์ท (1 ควอร์ท เท่ากับ ¼ แกลลอน) ใน 24 ชั่วโมง จะมีเลือด 7,200 ควอร์ทไหลผ่านหัวใจ หลอดเลือดขนาดเล็กที่เรียกว่า แคปปิลารี่ มีขนาดเล็กมากจนเลือดผ่านได้ทีละ 1 เซลล์ อัตราการไหลของเลือดผ่านเส้นเลือดขึ้นกับหลายปัจจัยคือ แรงเต้นของหัวใจ อัตราการเต้นของหัวใจ การควบคุมปริมาณเลือดที่จะผ่านห้องหัวใจได้ และสุดท้ายหลอดเลือดแคปปิลารี่ เลือดไหลคืนไปที่หัวใจ โดยเส้นเลือดดำและขบวนการก็เริ่มต้นอีกครั้ง การไหลเวียนเลือดเป็นสิ่งสำคัญ ขณะที่ไหลผ่านเส้นเลือดแดงและเส้นเลือดดำในหัวใจ คอ ศีรษะ สมอง และอวัยวะย่อยอาหาร จะลำเลียงและเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ โปรตีน ไขมัน และสารเคมี เมื่อเลือดเข้าและผ่านตับ มันจะนำกลูโคสและไกลโคเจนเข้าไปกรองและกำจัดสารพิษออก ไตจะทำความสะอาด ในต่อมน้ำเหลืองมีการลำเลียงสารอาหารภายในอวัยวะ เช่น ม้าม ต่อมทอนซิลและไธมัส จะช่วยสนับสนุนระบบภูมิคุ้มกัน

อวัยวะและระบบของร่างกาย มีความต้องการเลือดปริมาณไม่เท่ากันในเวลาต่างกัน เช่น สมองต้องการมากตลอดเวลา กล้ามเนื้อต้องการเลือดเป็นระยะ หลายสิ่งขึ้นกับการออกแรง ซึ่งเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปสู่กล้ามเนื้อ อากาศร้อนจะเพิ่มการไหลเวียนไปสู่ส่วนที่เย็นของร่างกาย เมื่อไหร่ที่เรากินอาหาร กระเพาะอาหารต้องการเลือดมากขึ้น เพื่อช่วยย่อยและดูดซึมอาหาร ระบบประสาทควบคุมทุกกิจกรรม ถ้าปราศจากการควบคุมที่สำคัญ จะทำให้ความต้องการเลือดไม่สามารถควบคุมได้ ถ้าระบบประสาทไม่ทำหน้าที่ ปริมาณเลือดในสมองจะเปลี่ยนแปลง ถ้าคุณเปลี่ยนตำแหน่งของร่างกายคุณเพียงเล็กน้อย มีเส้นประสาทเพียงสองเส้นควบคุมการลำเลียงเลือด อยู่ที่หัวใจเส้นหนึ่งและอยู่ที่คอเส้นหนึ่ง ทั้งสองเส้นประสาท จะคอยบันทึกการเปลี่ยนแปลงความดันโลหิต และทำให้ระบบประสาทเปลี่ยนแปลงอัตราการเต้นของหัวใจ และขนาดของหลอดเลือด เพื่อจะคงไว้ซึ่งความดันปกติ ขณะนี้ท่านคงเข้าใจถึงความสำคัญของระบบไหลเวียนโลหิต และชีวิตของเราขึ้นอยู่กับการทำงานที่ถูกต้องแม่นยำเพียงไร ยังคงมีสิ่งที่พิศวงและน่าอัศจรรย์ของร่างกายอีกมากมาย

ไลเปสเป็นเอ็นไซม์ที่สำคัญ ใช้ในการสลายไขมันและโคเลสเตอรอลและการควบคุมไขมัน

ผู้เชี่ยวชาญเรื่องหัวใจ ยอมรับว่า ถ้าสาธารณชนเข้าใจในความสามารถของไลเปสแล้ว ก็จะทำให้ปัญหาเกี่ยวกับโรคหัวใจและโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดลดลง เอ็นไซม์ไลเปสถูกใช้ร่วมกับเอ็นไซม์ชนิดอื่นๆ เพื่อช่วยให้การย่อยสมบูรณ์ เพื่อนำไปบำรุงและทำความสะอาดเลือดที่ไปเลี้ยงร่างกาย

การทำงานของเอ็นไซม์ เป็นแรงผลักดันในร่างกายของเรา ทุกๆความคิด ทุกๆลมหายใจ เราจึงอยู่ได้ด้วยเอ็นไซม์ พวกเอ็นไซม์จะช่วยย่อยอาหาร ลำเลียงสารอาหารและทำให้เลือดแข็งแกร่ง ถ้าใช้อย่างถูกต้อง จะเป็นแหล่งชีวิตสำหรับ ไต ตับ สมองและปอดของเรา

ในคนไข้ที่มีปัญหาโรคหัวใจ ได้รับคำแนะนำให้กำจัดน้ำตาลและแป้งเป็นจุดเริ่มต้นที่เยี่ยมยอด การที่ต้องปัสสาวะบ่อยครั้ง เป็นสิ่งที่พวกเขาต้องเผชิญอย่างยากลำบาก เพราะว่า แพทย์ให้ยาขับปัสสาวะ เพื่อช่วยควบคุมความดันสูง และจังหวะการเต้นหัวใจผิดปกติ เมื่อคนไข้จำกัดการกินน้ำตาลมากเกินความจำเป็น ระดับน้ำตาลจะคงที่ หลังจากนั้น ร่างกายจะเริ่มกำจัดพิษโดยธรรมชาติ การใช้ยาจะลดขนาดลง การควบคุมอาหารจะมีผลโดยตรงกับการเต้นหัวใจและความถี่ในการปัสสาวะ
หลอดเลือด ก็เป็นเหมือนความกระตือรือร้นทางชีวภาพ เช่นเดียวกันกับ ตับ ไต หรืออวัยวะอื่นที่สำคัญสำหรับชีวิต หลอดเลือดขึ้นกับเอ็นไซม์ เมื่อหลอดเลือดอุดตันด้วยไขมัน ประสิทธิภาพของเอ็นไซม์จะลดลง หลอดเลือดจะหดตัว การรักษาเอ็นไซม์ภายในร่างกายให้ทำงานตลอดเวลา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในร่างกาย ก็เพราะสารมหัศจรรย์(เอ็นไซม์)นั่นเอง เมื่อเราเครียดหรือเจ็บป่วย ระบบภูมิคุ้มกันของเราต้องเจ็บปวดทรมาน และพลังของเอ็นไซม์ถูกทำลายลง เช่น การกินเอ็นไซม์เพื่อไปหล่อเลี้ยงและทำให้ร่างกายแข็งแรง จึงเป็นเรื่องสมควรอย่างยิ่ง ที่ลดความกดดันในระบบการย่อย ทำให้ทำงานได้มีประสิทธิภาพดีขึ้น เอ็นไซม์ทำให้เลือดของเรามีสุขภาพดี และร่างกายเราก็สมดุลย์

โรคข้ออักเสบ

คนอเมริกันมากกว่า 40 ล้านคนที่เป็นโรคหัวใจ มะเร็ง และเบาหวาน ต้องทนทรมานกับโรคข้ออักเสบ ข้ออักเสบเป็นโรคชนิดหนึ่ง รัฐบาลอเมริกาต้องสูญเสียเงินในการรักษาโรคนี้ เป็นเงินเกินกว่าหนึ่งแสนห้าหมื่นล้านบาททุกๆปี อุบัติการณ์ของโรคถูกคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อถึงปี 2563 คนอเมริกาจำนวนกว่า 60 ล้านคนจะมีอาการข้ออักเสบ กล่าวโดย ดร. ชาลี เฮลมิก (Dr. Charles Helmick) จากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค ประเทศสหรัฐอเมริกา

โดยเฉพาะผู้หญิง โดยพบว่า 18 เปอร์เซนต์ของผู้หญิงเป็นโรคข้ออักเสบ เมื่อเทียบกับ 12 เปอร์เซนต์ของผู้ชาย ดังนั้น ผู้หญิงเกือบ 50 ล้านคนถูกจำกัดกิจกรรมเนื่องจากโรคนี้ ศัพท์ทางการแพทย์ใช้คำต่อท้าย “-itis” เพื่ออธิบายความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ คำที่ใช้ก็มี ข้ออักเสบ ตับอ่อนอักเสบ ผิวหนังอักเสบ ต่อมลูกหมากอักเสบ ข้ออักเสบรูมาตอยด์ เป็นทั้งระบบหมายความว่า เป็นทั่วร่างกายและเกี่ยวข้องกับเนื้อเยื่อที่เกี่ยวพันกับแผลที่เกิดจากการเสื่อม อาจจะพบได้ในคอลลาเจน (โปรตีนประเภทไฟบราสในเนื้อเยื่อที่เกี่ยวพัน กระดูก และกระดูกอ่อน) ของปอด หัวใจ หลอดเลือด และเยื่อหุ้มปอด คนที่เป็นรูมาตอยด์ มีอาการหลากหลาย ตั้งแต่เหมือนขาดอาหารจนถึงเจ็บป่วยเรื้อรัง เพราะว่าอวัยวะที่ผลิตเลือดเกิดการอักเสบ อาการที่พบบ่อยคือ ข้ออักเสบที่ข้อต่อ

โรคข้อต่อเสื่อม เกิดขึ้นในระบบกล้ามเนื้อและโครงกระดูก เมื่อมีการอักเสบ โรคนี้เป็นหนึ่งในโรคมนุษย์ ที่การรักษาค่อนข้างจะยากลำบากยิ่ง ยาที่ใช้จะไปหยุดการสร้างโปสต้าแกนดิ้นส์ในร่างกาย  ขณะที่โปสต้าแกนดิ้นส์มีหน้าที่ทำให้ข้อบวม ช่วยป้องกันกระเพาะจากกรดและน้ำย่อยที่จำเป็นสำหรับย่อยอาหาร ผลคือ 50%ของผู้ป่วยข้ออักเสบจะเป็นแผลในกระเพาะ จุดประสงค์ในการรักษา เพื่อพัฒนายาที่จะช่วยลดอาการบวม โดยปราศจากการรบกวนกระเพาะ มีหลายวิธีที่ใช้รักษาแล้วมีผลข้างเคียงที่อันตรายนำไปสู่โรคอื่นๆ ไม่ว่าการรักษาหรือผลข้างเคียงสำหรับข้ออักเสบจะเป็นอย่างไร ที่แน่ๆ คือมันรบกวนคุณภาพชีวิต

ความคงที่ในการเปลี่ยนแปลงเลือดและเม็ดเลือดขาว ได้ถูกสร้างขึ้นเป็นผลจากการอักเสบ นี่เป็นธรรมชาติของร่างกายที่จะมีปฏิกิริยาและพยายามป้องกันตัวเอง การโต้ตอบทางบวกต่อการอักเสบ ขึ้นกับการมีเอนไซม์อย่างเพียงพอ ถ้าการอักเสบมีอย่างต่อเนื่อง หรือการจู่โจมเป็นไปอย่างรุนแรง ความต้องการเอ็นไซม์ก็มีมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ความต้องการมีมากเกินกว่าร่างกายจะผลิตโดยปราศจากการช่วยเหลือ ร่างกายไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงอัตราการผลิตเอ็นไซม์เหมือนกับที่ไม่สามารถที่จะทำให้ช้าลง ความสำคัญของการใช้เอ็นไซม์จะคงที่ไปเรื่อยๆ

เมื่อระบบป้องกันร่างกายถูกทำลายลง เพราะการขาดแคลนเอ็นไซม์ภายในร่างกายนำไปสู่ขบวนการที่เรียกว่า ภูมิคุ้มกันไวเกินหรือภูมิแพ้ ร่างกายเริ่มสนใจเนื้อเยื่อหรือเซลล์ของตัวเอง ว่าเป็นผู้บุกรุก ร่างกายของเราเริ่มทำร้ายตัวเอง มันจะจู่โจมเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ข้อต่อ ผิวหนัง และเม็ดเลือด ขณะที่การประจัญบานลุกลามออกไป ความผิดปกติแรกเริ่มก็ยังดำเนินต่อไป ผลก็คือความเจ็บป่วยเรื้อรัง

ระบบภูมิคุ้มกันทำลายตัวเอง โดยส่วนใหญ่ของผู้ที่เจ็บปวดมักมีปัญหาเรื่องการย่อยไขมันและโปรตีน พวกเขาชอบอาหารรสเผ็ด รสจัด อาหารใส่น้ำตาลมากและมีเนื้อสัตว์ ไม่ได้หมายความว่า พวกเขาไม่ควรกินเนื้อหรืออาหารเผ็ดอีกแล้ว ในคนไข้ข้ออักเสบต้องการอาหารเหล่านี้อยู่ ดังนั้น โปรตีเอส และไลเปส คือ เอ็นไซม์ที่พวกเขาต้องการมากที่สุด ดังนั้น เอ็นไซม์ที่ได้จากขบวนการหมักของเชื้อจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ รวมทั้งจุฃินทรีย์ที่ทำให้เกิดนมเปรี้ยวและยีสต์ สามารถช่วยป้งกันและรักษาโรคนี้ได้

การกระตุ้นภูมิคุ้มกัน : การเชื่อมโยงของเอ็นไซม์

มีคนไข้จำนวนหลายพันคน ที่ใช้เอ็นไซม์ทำการรักษาโรคแล้วทำให้เกิดความประหลาดใจ เพราะมันจะดูราวกับว่า เอ็นไซม์มีสองบทบาท ที่แตกต่างกันในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ประการแรกสุด

เอ็นไซม์ทำตัวเหมือนเป็นสารที่เข้าไปทำปฏิกิริยากับสาเหตุที่ทำให้เกิดการทำลาย หลังจากนั้นจะไปกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน

นี่แสดงถึงการทำงานของเอ็นไซม์ช่วยย่อย ที่เข้าจู่โจมผู้ปกป้องโดยลดการอักเสบ และทำให้พิษเป็นกลาง โดยพิษจะไปทำให้ผนังเยื่อบุเป็นแผล เป็นผลนำไปสู่การลดการรั่วไหลของอาหารบางส่วนที่ย่อยแล้ว โดยส่วนใหญ่เป็นโปรตีนที่ทำให้เกิดการแพ้ ผ่านผนังลำไส้และผ่านเข้าสู่ระบบไหลเวียนโลหิต เอ็นไซม์ย่อยโปรตีน(โปรติเอส)จะเข้ามาช่วยกู้ชีวิต เมื่อมีการรับประทานเอ็นไซม์ขณะท้องว่าง จะช่วยย่อยสลายชิ้นส่วนโปรตีนที่เหลืออยู่ในลำไส้เล็กไปลำไส้ใหญ่ เอ็นไซม์ชนิดเดียวกันนี้ เมื่อไม่เป็นที่ต้องการในลำไส้จะเคลื่อนย้ายไปยังกระแสโลหิต ที่นั่นเอ็นไซม์จะย้ายสารพิษและโปรตีนที่ไม่ต้องการออกไป

เอ็นไซม์ช่วยทำให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแกร่ง โดยเพิ่มจำนวนและความแข็งแรงของเซลล์ ที่ทำหน้าที่ต่อสู้สิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย เซลล์เหล่านี้คือ แมคโครฟาดส์ โมโนซัยม์ (เม็ดเลือดขาวที่ไม่มีแกรนูล มีหนึ่งนิวเคลียสขนาดใหญ่ รูปร่างกลมหรือคล้ายไต) และทีเซลล์ (ลิมโฟซัยส์) ที่เกี่ยวข้องกับการจำกัดเนื้อเยื่อแปลกปลอม ทำหน้าที่เป็นภูมิคู้มกันและช่วยควบคุมการสร้างแอนติบอดี้ เมื่อเอ็นไซม์มาถึงเซลล์ที่ทำหน้าที่เป็นภูมิคุ้มกัน มันจะเพิ่มของเหลว และการซึมผ่านของผนังเซลล์ ทำให้สารอาหารผ่านเข้าเซลล์ และง่ายสำหรับสารพิษที่จะออกไป ทำให้ขบวนการเผาผลาญอาหารระดับเซลล์พัฒนาขึ้นตลอดร่างกาย และเป็นสิ่งสนับสนุนในระดับพลังงาน หลังจากนั้นวัฎจักรการขาดอาหาร การย่อยที่ไม่ดี และการอดอาหารของเซลล์ถูกทำลายลงในที่สุด ระบบภูมิคุ้มกันจะแข็งแรงขึ้น

กรณีศึกษา

การวิเคราะห์เลือด สำหรับตรวจวินิจฉัยหนึ่งหยดของเลือดจากนิ้ววางไว้บนกระจก วิธีนี้เรียกว่าดารก์ฟิล ไมโครสโคปี้กล้องมืด ผู้ปฏิบัติสามารถตรวจการเคลื่อนไหวของเซลล์ บันทึกความสมดุลย์และไม่สมดุลย์

คนไข้ที่พึ่งจะจบการรักษามะเร็งด้วยสารเคมี คนไข้จะมีเม็ดเลือดขาวต่ำ แพทย์จะฉีดยา เพื่อเพิ่มเม็ดเลือดขาว แต่มักจะไม่ประสบความสำเร็จ เพราะเม็ดเลือดขาวของเขามีเพียง 580 โดยปกติค่าเม็ดเลือดขาวของคนปกติ ควรจะมีประมาณ 8,000 เม็ด การที่เม็ดเลือดขาวของเขาต่ำกว่าปกติ แพทย์จะรู้สึกเป็นกังวลว่า ระบบภูมิคุ้มกันของเขากำลังตกอยู่ในอันตราย
เอ็นไซม์สามารถเพิ่มจำนวนเม็ดเลือดขาวได้ ในคนสุขภาพดีไม่เจ็บป่วย พวกเราสามารถเห็นการเพิ่มขึ้นในเม็ดเลือดขาว และเม็ดเลือดแดงภายใน 10 นาทีหลังรับประทานโปรตีเอส ในกรณีนี้ พวกเราสามารถเห็นเซลล์เม็ดเลือดขาวใหม่และทีเซลล์ในเวลาไม่กี่นาที ที่ได้เห็นผลลัพธ์อย่างรวดเร็วหลังการใช้เอ็นไซม์ เม็ดเลือดขาวของคนไข้ กลับไปที่ 7,800 เขาดูมีความสุข มะเร็งก็บรรเทา ผมของเขาขึ้นใหม่

ท่านมีเลือดที่ดีหรือไม่

ท่านมีเลือดที่ดีและแข็งแรงหรือไม่ หรือมันอ่อนล้าและอ่อนแอ

คำตอบสำหรับคำถามนี้ จะนำมาซึ่งความแตกต่างระหว่างการดำรงชีวิตที่แข็งแรงสมบูรณ์ และการดำรงชีวิตแบบเหน็ดเหนื่อยและอ่อนล้า

พวกเราไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ โดยปราศจากของเหลวที่เป็นโปรตีนเชิงซ้อนพิเศษ ที่ไหลผ่านทั่วร่างกายเรา ความมหัศจรรย์ของวิทยาศาสตร์ทันสมัยคือ ความสามารถใช้เลือดของผู้อื่นได้ยาวนานเท่าเลือดชนิดเดียวกัน สารประกอบของเลือดนี้เรียกว่าพลาสมา เป็นส่วนประกอบพื้นฐานของสิ่งค้ำจุนชีวิต การทำงานของพลาสมาเป็นตัวพาอาหาร ออกซิเจน วิตามิน และแร่ธาตุเข้าสู่เซลล์และเปลี่ยนของเสีย ของแข็งในเลือด ที่ประกอบด้วยเม็ดเลือดแดงที่มีรูปร่างคล้ายเหรียญ มีความยืดหยุ่นโค้งงอ พับอัดได้ เพื่อไหลผ่านเส้นเลือด แคปปิลารี่ (เส็นเลือดที่มีขนาดเล็กมากแค่ครึ่งหนึ่งของเส้นผ่าศูนย์กลางเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดแดงผลิตจากไขกระดูก ส่วนประกอบหลัก คือ ฮีโมโกลบิน ที่เป็นโมเลกุลโปรตีน เพื่อให้รวมกับออกซิเจน)

เลือดประกอบด้วยสสารที่มหัศจรรย์อย่างอื่นด้วย หนึ่งในนั้นคือ เกล็ดเลือดที่มีรูปร่างบางๆคล้ายจาน มีความจำเป็นสำหรับการแข็งตัวของเลือด ถ้าผิวหนังถูกตัด เลือดจะไหลออกมา เกล็ดเลือดจะปล่อยสารเคมีที่จะไปตกผลึกโปรตีนในพลาสมา เรียกกันว่า ไฟปริโนเจน มันจะสร้างตาข่ายสำหรับเม็ดเลือดแดง ทุกอย่างจะถูกรวมเป็นจุดแข็ง เม็ดเลือดขาวขนาดใหญ่ที่มีจำนวนน้อยกว่าเม็ดเลือดแดง จะทำหน้าที่เป็นทีมพิทักษ์ร่างกาย เมื่อมีการรุกรานของแบคทีเรีย เชื้อรา หรือปรสิตเกิดขึ้น เม็ดเลือดขาวจะเพิ่มจำนวน เพื่อจะกลืนกินและทำลายศัตรู

เลือดของเรา ไม่สามารถดำรงอยู่หรือทำงานได้ ถ้าปราศจากออกซิเจน ค่าเฉลี่ยของผู้ชายที่มีระบบเส้นเลือดฝอย ถ้ายืดเส้นเลือดออกไปโดยเอาปลายต่อกันจะยาวประมาณ 60,000 ไมล์ ภายในปอดเราจะบรรจุเต็มไปด้วยท่อขนาดเล็กมากมาย เมื่อเราหายใจ ออกซิเจนจะผ่านเข้าไปในเลือดทางผนังบางๆของเส้นเลือดแคปปิลารี่ เลือดจะพาออกซิเจนไปยังเนื้อเยื่อในร่างกายหนึ่งในพันของหนึ่งนิ้ว ในพื้นที่ตัดขวางหนึ่งตารางนิ้วของกล้ามเนื้อจะมีมากกว่า 3 ล้านเส้น แต่ละแคปปิลารี่นำพาการไหลของเลือดไปอย่างรวดเร็ว หัวใจสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกาย 6 ควอร์ทไปยังเนื้อเยื่อครั้งแล้วครั้งเล่า อัตราการเต้นหนึ่งรอบประมาณหนึ่งนาที

ระบบน้ำเหลือง

เป็นเพื่อนกับระบบไหลเวียนโลหิต จุดประสงค์พื้นฐาน เพื่อแยกและกำจัดการติดเชื้อที่เป็นอันตราย ระบบท่อน้ำเหลืองไหลเวียนมากกว่าหรือเปรียบเทียบเท่ากับเลือด ต่อมน้ำเหลืองสร้างขึ้นด้วยลิ้นปิดเปิดและตัวกรองการไหลเวียนโลหิตเป็นไปอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่คงที่ ในร่างกายที่คล่องแคล่ว กล้ามเนื้อ กระแสไฟฟ้า และสารเคมีจะเป็นตัวควบคุมรูปแบบของการไหลเวียนของโลหิตให้เป็นปกติ และให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่รู้จบ มันเหมือนระบบหัวฉีดในสนามหญ้า หลายกลุ่มของหัวฉีดเปิดและปิด ทำให้น้ำท่วมในพื้นที่แรกและพื้นที่ถัดๆไป เลือดสามารถไหลเหมือนแม่น้ำขนาดใหญ่ และพัดพาสิ่งกีดขวางขนาดใหญ่ออกไป บางครั้งกระแสย้อนกลับในช่องแคบ การเดินเครื่องทั้งหมดถูกควบคุมโดยศูนย์กลางในสมอง เมื่อได้รับข้อมูลจากตัวรับความรู้สึก ที่ถูกวางอยู่ที่จุดยุทธศาสตร์และสั่งสัญญาณไปที่หัวใจและที่ตัวควบคุมเส้นเลือดแดงเส้นเลือดดำนับพันจุด

เส้นเลือดแคปปิลารี่ จะปฏิบัติหน้าที่ให้ดำรงชีพสำหรับร่างกายของเรา เราสามารถกล่าวย่อๆ ดังนี้ :
— ไหลเวียนออกซิเจนผ่านเครือข่ายการเชื่อมโยงของเส้นเลือดแดง เส้นเลือดดำและเส้นเลือดแคปปิลารี่
— ลำเลียงสารอาหารไปยังเนื้อเยื่อและอวัยวะ
— บรรทุก แร่ธาตุ ฮอร์โมน วิตามิน และแอนติบอดี้
— ขจัดของเสีย

สสารหลายชนิดที่มีความสำคัญต่อสุขภาพ จะถูกนำกลับมาใช้ใหม่โดยผ่านเลือด เลือดจะช่วยควบคุมความสมดุลย์(โฮมีโอสแตซีส) ของสิ่งแวดล้อมภายใน

หน้าที่หลักที่เกี่ยวข้องกับโภชนาการของเซลล์คือ ป้องกันผู้บุกรุก และทำให้อุณหภูมิในร่างกายคงที่ เลือดยังสนับสนุนการปรับตัวของร่างกายที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงภายนอก เช่น การออกกำลังกาย นิสัยการกินใหม่ และทนต่อการบาดเจ็บและการติดเชื้อ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของ สภาพอากาศ เลือดถูกนำไปวิเคราะห์ เพื่อเป็นข้อมูลการขาดโภชนาการและการเป็นโรค

เม็ดเลือดแดงไหลเวียนในกระแสโลหิตประมาณ 120 วัน หลังจากนั้นถูกจับไปทำลายที่ม้าม ที่เป็นอวัยวะที่มีหน้าที่เก็บและกรองเลือด ม้ามและตับทำหน้าที่เป็นตัวเก็บสำรองเม็ดเลือดแดงเมื่อยามฉุกเฉิน และปฎิบัติเหมือนลานกู้ภัย ที่จะคอยดึงเหล็กกลับคืนจากเม็ดเลือดแดงที่ตายไปแล้ว
จำนวนเม็ดเลือดแดงทั้งหมดในร่างกาย จะแตกต่างกันที่อายุ กิจกรรมและอุณหภูมิ ค่าเฉลี่ยของเม็ดเลือดแดงในคนปกติ ประมาณ 35 ล้านล้านเซลล์

เม็ดเลือดขาว เป็นส่วนประกอบหลักในระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เม็ดเลือดขาวจะช่วยซ่อมแซมร่างกาย การทำงานของเม็ดเลือดขาว จะทำตัวคล้ายเครื่องเก็บขยะ เม็ดเลือดขาวมีแหล่งกำเนิดมาจากไขกระดูกหรือต่อมน้ำเหลือง ต่อมน้ำเหลืองทำหน้าที่เป็นด่านป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย เม็ดเลือดขาวเดินทางไปยังที่ต่างๆผ่านเส้นเลือดแดง เส้นเลือดดำ และเส้นเลือดแคปปิลารี่

นอกจากนั้น เม็ดเลือดขาวยังสามารถเดินทางออกนอกเส้นเลือด และผ่านไปยังเนื้อเยื่อของท่อน้ำเหลือง แม้ว่าเซลล์เม็ดเลือดขาวจะถูกผลิตในปริมาณมากแต่จะมีอายุเพียงไม่กี่วัน ค่าเฉลี่ยของเม็ดเลือดขาวในคนปกติประมาณ 75 พันล้านเซลล์ในเลือด

เราสามารถสังเกตเม็ดเลือดขาว เพื่อดูว่าทำหน้าที่มีประสิทธิภาพอย่างไร ในพฤติกรรมของระบบออโตอิมมูน ความไม่สมดุลย์ ตรวจพบได้โดยใช้กล้องจุลทรรศน์พื้นมืด ขึ้นกับข้อมูลโภชนาการของคนไข้โดยจะปรากฏในเลือด บางคนมีปัญหาในการย่อยไขมัน สามารถทำให้มีการรวมตัวของเม็ดเลือดไปเกาะผนังเส้นเลือด และพื้นผิวขุรขระของหลอดเลือดที่ถูกทำลาย ในกรณีนี้ชี้ให้เห็นว่า เมื่อมีโคเลสเตอรอลสูงและปวดหัว เกิดจากบริโภคแอลกอฮอลล์ ยาหรือขาดการย่อย (ย่อยไม่ได้) จะปรากฏเป็น