มหัศจรรย์ เห็ดเป็นยา เห็ดกระดุมบราซิล”

เป็นอาหารสร้างภูมิต้านทานป้องกันและยับยั้งมะเร็ง
( Agaricus blazei Murrill is a carcinostatic food that improves the immunity function of human body)

บทความ​โดย ดร.อานนท์ เอื้อตระกูล

ผลของการศึกษาวิจัยร่วมของสถาบันวิจัยในประเทศญี่ปุ่น พบว่า เห็ดกระดุมบราซิลมีความสามารถในการยับยั้งเซลมะเร็งที่ทำให้เกิดการบวมที่ท้อง(Ascites cancer) และมะเร็งที่ถูกกระตุ้นด้วยก่อมะเร็ง(Carcinogenic chemical) และผลของการใช้ยายับยั้งโรคเกี่ยวกับตับ(Inhibition of hepatopathy) ที่ถูกกระตุ้นโดย Carbon quadricchloride. มีผลต่อการลดกรดไขมัน(Decholesterolization) , ลดไขมันในเส้นเลือด(Reduction of serum lipid) ช่วยเสริมสร้าง ซ่อมแซมส่วนต่างๆที่สึกหรอและสร้างเซลกำเนิดของภูมิต้านทาน(Interferons) เมื่อเร็วๆนี้ ยังพบอีกว่า เห็ดกระดุมบราซิลยังช่วยกระตุ้นการสร้างเซล Helper-T-lymphocyte ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิต้านทาน กระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาว(Macrophage) ช่วยกระตุ้นการทำงานของผนังเซล เพื่อช่วยในการขนย้าย(Enterokinesis)และบรรเทาการเกิดมะเร็งในถุงน้ำดี(Gallbladder cancer) นอกจากนี้ ยังช่วยสร้างภูมิต้านทานเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้(Antiallergy effect) และกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจให้ปกติ(Cardiac movement) ดังนี้

1. ผลอันน่าอัศจรรย์ของเห็ดกระดุมบราซิลต่อต้านมะเร็ง (The suprising anticancer effect of Agaricus blazei Murrill)

เมื่อมีการปลูกถ่ายสารก่อมะเร็งชนิด “Sarcoma180” เข้าไปใต้ผิวหนังหนูทดลองที่มีอายุประมาณ 5-6 สัปดาห์ พบว่า เซลมะเร็งจะแพร่กระจายเข้าไปทั่วร่างกายอย่างรวดเร็ว และจะเกิดก้อนแข็งขนาดใหญ่ขึ้น ภายใน 4-5 สัปดาห์หนูก็จะตายไปทั้งหมด แต่จากการทดลองฉีดสารก่อมะเร็งเข้าไปในหนู 24 ชม.แล้วจึงฉีดสารสกัดจากเห็ดกระดุมบราซิลเข้าไปติดต่อกันทุกวันเป็นเวลา 10 วัน พบว่า ในระดับความเข้มของสารสกัดเห็ดกระดุมบราซิลที่ 1 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักหนู 1 กก. มีหนูที่ไม่เป็นมะเร็งเลย 10 ตัวต่อจำนวนหนู 16 ตัว หรือเทียบเป็น 80.7% หากเพิ่มความเข้มข้นเป็น 10 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักหนู 1 กก. พบหนูที่ไม่เป็นมะเร็งเลยสูงถึง 28 ตัวต่อ จำนวนหนูทดลอง 32 ตัว หรือคิดเป็น 93.6 % โดยมีประสิทธิภาพสูงกว่าเห็ดอื่นใดตามตารางที่ 1

2. ค้นพบสารต่อต้านมะเร็งในเห็ดกระดุมบราซิล (Discovery of Anticancer active components of Agaricus blazei)

ได้มีการค้นพบสารที่เป็น High polymer polysaccharides ที่มีคุณสมบัติต่อต้านมะเร็ง ตามตารางที่ 2 จากตารางจะเห็นว่า F111-2-b(ซึ่งเป็นสารประกอบของ β-(1-6)a-D-glycan และโปรตีน) และ RNA(Ribonucleic acid) มีผลต่อการต่อต้านมะเร็งอย่างเห็นได้ชัด โดยสารดังกล่าว จะเป็นเครื่องช่วยยืนยันถึงคุณสมบัติของเห็ดกระดุมบราซิลที่มีผลในการต่อต้านมะเร็ง
ตารางที่ 2

สาร Polysaccharide ในเห็ดกระดุมบราซิล ที่แสดงผลการต่อต้านมะเร็งประเภท “Sarcoma180” อย่างชัดเจน

หมายเหตุ * แม้จะเป็นการให้สารสกัดจากเห็ดกระดุมบราซิลทางปากในอัตราความเข้มข้น 50 และ150 มก.ต่อน้ำหนักหนู 1 กก. ก็พบว่า สาร Polysaccharide แสดงให้เห็นถึงผลการต่อต้านมะเร็งสูงถึง 68% และ74% ตามลำดับ นั่นก็หมายความว่า หนูที่เป็นมะเร็งท้องโต (Ascites cancer ) สามารถรอดชีวิตอยู่ได้

3.มีสารยับยั้งป้องกันมะเร็งที่ได้จากเส้นใยและสารสกัดและกรองจากเห็ดกระดุมบราซิล (Carcinostatic polysaccharides obtained from cultured mycelium and filtrate of Agaricus blazei)

มีสาร Polysaccharide หลายชนิดที่มีคุณสมบัติต่อต้านมะเร็ง (สาร Polysaccharides สามารถเรียกอีกชื่อหนึ่งได้ว่าเป็น glycans เป็นกลุ่มน้ำตาลที่จับกันอย่างเหนียวแน่น ด้วยน้ำตาลที่มีขนาดเล็ก เช่น กลูโคส หรือไซโลส) ที่มีอยู่ในดอกเห็ดกระดุมบราซิล
ขณะเดียวกัน สารpolysaccharides หรือ glycans ที่มีคุณสมบัติต่อต้านมะเร็งนั้น ยังมีอยู่มากในเส้นใยของเห็ดกระดุมบราซิล ที่ได้จากการเพาะเลี้ยงในอาหารที่มีส่วนประกอบได้แก่ อาหารเหลวที่มีน้ำตาลกลูโคส ยีสต์สกัด แร่ธาตุและน้ำ ทำการเพาะเลี้ยงในห้องควบคุมแล้วนำไปปั่นเอาแต่เส้นใย ก่อนที่จะทำให้แห้งด้วยความร้อน จากนั้นจึงใส่เอทธิลแอลกอฮอล์เข้าไปช่วยในการสกัดสาร Polysaccharides

สาร Polysaccharide AB-P คือ สารที่สกัดได้จากดอกเห็ด ATOM เป็นสารที่ได้มาจากเส้นใยเห็ดกระดุมบราซิล และ AB-FP ได้จากการกรองเส้นใยเห็ดกระดุมบราซิล จากการทดลองเปรียบกับหนูที่เป็นมะเร็ง Sarcoma180 โดยใช้สาร AB-FP อัตรา 10 มก./ กก.ของหนู เป็นเวลาติดต่อกัน 10 วัน ผลปรากฏว่า สามารถยังยั้งเซลมะเร็งดังกล่าวได้ถึง 100% แต่หากใช้สารสกัดจากเส้นใย(ATOM)และสารกรอง(AB-FP) อัตรา 20 มก./กก.ของหนู ผลของการยับยั้งมะเร็งสูงถึง 99% หลังจากนั้นอีก 5 สัปดาห์ต่อมา เซลมะเร็งจะหายไปหมดเกือบ 100% นั่นก็แสดงให้เห็นและเป็นการยืนยันแล้วว่า สาร Polysaccharide จากเห็ดกระดุมบราซิลมีผลต่อต้านมะเร็งอย่างดีเยี่ยม

4. ผลของการป้องกันมะเร็งเนื้อร้ายในสัตว์ทดลอง (Cancer prevention effects observed through animal experiments)

ผลของต่อต้านการแพร่กระจายของเซลมะเร็ง(Cancer proliferation) ได้รับการยืนยันจากผลการทดลองหนู ที่แสดงให้เห็นถึงผลการต่อต้านมะเร็งของสาร Polysaccharide (Antioncogenous polysaccharide) ด้วยการให้หนูได้รับสารสกัดจากเห็ดกระดุมบราซิลติดต่อกันเป็นเวลา 10 วัน จากนั้นจึงทำการฉีดเซลมะเร็ง (Ascites cancer) เข้าไปในหนูภายใน 24 ชม. หลังจากนั้นจะไม่ให้หนูได้รับสารสกัดจากเห็ดกระดุมบราซิลอีก โดยมีหนูอีกกลุ่มหนึ่งเพื่อใช้เป็นการเปรียบเทียบ(Control) ด้วยการฉีดเฉพาะน้ำเกลือ 10 วันก่อนที่จะมีการปลูกถ่ายเซลมะเร็งเข้าไป ผลของการทดลอง การป้องกันมะเร็งของสารสกัดจากเห็ดกระดุมบราซิลนั้น จะทำการวัดค่าของการต้านทานการเกิดโรคมะเร็ง (Tumor inhibition), การหายขาดจากมะเร็งและผลของการรอดตาย ดังตารางที่ 3 จะเห็นว่า ผลของมะเร็งหายไปเลย (complete disappearance) มี 5ใน 10 ของกลุ่มหนูที่ได้รับสารสกัดจากเห็ดในปริมาณ 10 มก.ต่อ นน.หนู 1 กก. และ 7 ใน 10 ของกลุ่มหนูที่ได้รับสารสกัดเห็ดกระดุมบราซิล 20 มก.ต่อ นน.หนู 1 กก. ส่วนเซลมะเร็งไม่แพร่กระจายต่อไปอีก คือ 64.1% 79.6% และ 94.2% ของกลุ่มหนูที่ได้รับสารสกัดจากเห็ด 5, 10 และ 20 มก.ต่อ นน.หนู 1 กก. ตามลำดับ จึงนับว่าผลการทดลองนี้ เป็นการยืนยันว่า สารสกัดจากเห็ดกระดุมบราซิล มีผลในการป้องกันมะเร็งเนื้อร้ายชนิด (Ascite cancer)ได้ แต่ผลจะเกิดขึ้นมากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับปริมาณสารสกัดเห็ดกระดุมบราซิลที่ได้รับ
Table 3
Antitumor effect against “Sarcoma 180” solid cancer after preparatory administration of ATOM (polysaccharide extracted from Agaricus Blazei Murrill)

5. สารสกัดจากเห็ดกระดุมบราซิลสามารถยับยั้งมะเร็งที่เกิดจากสารก่อมะเร็งที่เกิดจากสารเคมีได้ Agaricus Blazei Murrill is also effective against cancer induced by chemical carcinogen

เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า 80% ของโรคมะเร็งเนื้อร้ายเกิดจากสารเคมีจากสภาพแวดล้อมและอาหาร สารน้ำตาลที่เป็นกลาง (Neutral polysaccharides) เช่น b-D-glycan, xyloglycan, สารน้ำตาลที่มีฤทธิ์เป็นกรด acid hetero-polysaccharide (uronyde, a kind of galactoglycan), proteinic polysaccharide (peptide glycan) และ nucleic acid elements (ribonucleotide protein) ล้วนแล้วแต่เป็นสารที่มีอยู่ในเห็ดกระดุมบราซิล ที่มีคุณสมบัติต่อต้านมะเร็งที่เรียกว่า Fibroblastemic sarcoma (cancer) ที่ถูกกระตุ้นด้วยสารเคมีที่เรียกว่า methylcholanthrene ที่ถูกปลูกถ่ายไว้ใต้ผิวหนังของหนู การทดลองโดยใช้ FIII-2-b ที่สกัดมาจากเห็ดกระดุมบราซิล(ซึ่งเป็นสารประกอบของ complex of b-D-glycan and โปรตีน), 5-FU (fluorouracil) and ATOM (สารสกัดจากเส้นใยเห็ดกระดุมบราซิล) ให้หนูทดลองกินหลังจากปลูกถ่ายเซลมะเร็งลงไปแล้ว 24 ชม.
จากผลการทดลองดังตารางที่ 2 จะเห็นได้ว่า สาร FIII-2-b และ 5-FU มีผลต่อการยับยั้งการแพร่กระจายของเซลมะเร็งได้ และยังพบอีกว่า หากใช้สารดังกล่าวทั้ง 2 ร่วมกัน จะมีผลต่อต้านการแพร่กระจายของเซลมะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่ยาที่ใช้สำหรับฆ่าหรือยับยั้งเซลมะเร็ง ก็จะทำการฆ่าเซลปกติไปด้วย ทำให้เกิดผลข้างเคียงขึ้นอย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน Hematopoictic ไขกระดูก และระบบการย่อยอาหาร ซึ่งเราสามารถลดความรุนแรงของผลข้างเคียงของการรักษาด้วยสารเคมี ด้วยการใช้สารสกัดจากเห็ดกระดุมบราซิลควบคู่กันไป นอกจากนี้ สารสกัดจากเห็ดกระดุมบราซิล ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของยาดีและอยู่ได้นานยิ่งขึ้น
จากตารางที่ 4 จะเห็นว่า สารสกัดจากเส้นใยเห็ดกระดุมบราซิล มีคุณสมบัติในการยับยั้งเซลมะเร็งที่เรียกว่า Fibroblastemic sarcoma

Table 4
Anticancer effect of ATOM against Meth A fibroblastemic sarcoma
6. สารสกัดจากเห็ดกระดุมบราซิล มีผลในการต่อต้านเซลมะเร็งที่เกิดตามธรรมชาติที่เต้านมของหนู Agaricus Blazei Murrill is effective against naturally generated adenocarcinoma of mammary gland of mice

มะเร็งที่เรียกว่า “Shionogi42” เป็นเซลมะเร็งเต้านม ที่มักเกิดขึ้นตามธรรมชาติกับหนูเพศเมีย โดยมีลักษณะเป็นก้อนเนื้อร้ายที่แข็งในหนูตระกูล “dds(DS) family ซึ่งเป็นสายพันธุ์หนูทดลองที่ถูกเลี้ยงในฟาร์ม Aburaki Farm ของบริษัท Shionogi โดยเซลมะเร็งนี้จะถูกกระจายพันธุ์แบบต่อเนื่องตามกรรมพันธุ์ เป็นการยากมากที่จะรักษาให้หายได้จากการใช้สารเคมีใดๆ
จากผลการทดลองในตารางที่ 6 จะพบว่า เซลมะเร็งในหนูถูกยังยั้ง 25.1% เมื่อให้หนูกินสารสกัดจากเส้นใยเห็ดกระดุมบราซิล 100 มก. ต่อ นน. หนู 1 กก. และผลจะสูงขึ้น หากเพิ่มปริมาณของสารสกัดจากเส้นใยเห็ดกระดุมบราซิลเป็น 300 มก. ต่อ นน. หนู 1 กก. โดยมีผลสูงถึง 48.5% และผลการทดลองเป็นการช่วยยืนยันว่า สารสกัดจากเห็ดกระดุมบราซิล จะได้ผลดีกว่าการใช้สารเคมีใดๆ เช่น mitomycin C (antioncogenous antibiotic) or fluorouracil (pyrimidine metabolism antagonizing antitumor medicine).

Table 6
Synergistic anticancer effect of ATOM and radiotherapy

10. สิ่งที่จะต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับผลข้างเคียงของการใช้วิธีเคมีบำบัด The first step of treatment by anticancer medicine is to understand its side effect.

การรักษาโรคมะเร็ง เป็นความปรารถนาและต้องการของมนุษย์ที่ต้องการจะฟันฝ่าโรคร้ายนี้ ไม่เหมือนโรคอย่างอื่นที่เกิดจากเชื้อต่างๆเข้าไปในร่างกาย เพราะเซลมะเร็ง เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว มันจะแฝงเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายไปเลยหรือเข้าไปเบียดบังหรือทำลายเซลอื่นไปด้วย เป็นการยากมากที่จะจำแนกแยกแยะเซลมะเร็งได้ จึงเป็นสาเหตุหรือเหตุผลที่การรักษาโรคมะเร็ง จึงเป็นไปด้วยความยากลำบากยิ่ง หรืออาจจะกล่าวได้อีกนัยหนึ่งได้ว่า “ ไม่มียาชนิดใดในปัจจุบัน ที่จะสามารถพิชิตหรือทำลายเซลมะเร็งได้อย่างหายขาด” ในบางกรณีที่โชคร้าย ผู้ป่วยอาจจะเสียชีวิตไปก่อน จากผลข้างเคียงของการใช้ยา แม้เซลมะเร็งจะถูกทำลายไป หรือลดปริมาณลงก็ตาม ผลข้างเคียงของการใช้ยารักษาโรคมะเร็ง คือ ปัญหาอันยิ่งใหญ่ที่ประสพกันอยู่ในปัจจุบัน ที่สำคัญที่สุด ที่ยังไม่มียาระงับหรือรักษาโรคมะเร็งแล้วจะไม่มีผลข้างเคียง ยาทุกชนิดล้วนแล้วแต่มีผลข้างเคียงอันร้ายกาจและรุนแรงทั้งสิ้น หรือยาใดก็ตามที่มีผลข้างเคียงต่ำ ผลในการยับยั้งหรือรักษาโรคมะเร็งก็จะด้อยหรือต่ำลงไปด้วย ดังนั้น ควรต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับผลข้างเคียงของยาเสียก่อน

ยารักษาโรคมะเร็งที่นิยมใช้กันอยู่ปัจจุบันนี้ มีผลทำให้ bond ของ DNA ที่เป็นทั้งแบบ Covalent และ non-covalent ที่มีผลต่อการสร้าง DNA การถ่ายทอดกรรมพันธุ์ และการเพิ่มปริมาณของ DNA ที่สำคัญที่สุด ยารักษาโรคมะเร็งเหล่านี้ อาจจะกลายเป็นสารก่อมะเร็งรอบสองต่อไปเสียอีก ยกตัวอย่างเช่น nitrogen mustard derivatives หลายชนิด ที่ใช้เป็นยา alkylating medicines แต่มันกลับไปเป็นตัวสาเหตุให้เกิดมะเร็งที่เรียกว่า pulmonary and thymus tumor of mice ยา cyclophosphamide และยา endoxan จะกลายเป็นยาช่วยเร่งให้เกิดมะเร็งที่เรียกว่า mammary gland tumor และยา mitomycin C ที่ใช้ในการรักษามะเร็ง antitumor antibiotic ปรากฎว่ามันจะไปสร้างมะเร็งที่เรียกว่า subcutaneous sarcoma ในหนูได้ จากเหตุผลดังกล่าว ผลของยารักษาโรคมะเร็งทุกชนิดมีผลข้างเคียง ท้ายที่สุดจะกลายเป็นตัวก่อมะเร็งเสียเอง ผู้ป่วยควรจะต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง ที่จะตัดสินใจใช้ยารักษามะเร็ง ก่อนที่จะกลายเป็นได้รับมะเร็งชนิดใหม่เพิ่มเข้าไปอีก

Table 7
Anticancer effect of ATOM against Ehrlich ascites camcer

11. เห็ดกระดุมบราซิล ช่วยทำให้เกิดการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วต่อผลของการรักษาแบบเคมีบำบัด Agaricus Blazei Murrill helps recovery from the inhibition of reticuloendothelial system function caused by anticancer medicines

ยารักษาโรคมะเร็งที่นิยมใช้กันมากที่สุดในปัจจุบันได้แก่ mitomycin C (MMC), fluorouracil (5-FU) and cyclophosphamide (CY) ซึ่งยาดังกล่าวทุกชนิด ล้วนแล้วแต่มีผลในการต่อต้านระบบ reticuloendothelial system function อันเป็นสาเหตุสำคัญของผลข้างเคียงในการใช้ยา จากผลการศึกษาการใช้ยาต่างๆต่อโรคมะเร็งท้องบวม (Ehrich ascites) และมะเร็งในถุงน้ำดี ซึ่งค่าของ K value เท่ากับ 100 ผลของการใช้ยา mitomycin C (MMC) 1 มก.ต่อ กก. จะมีผลการต่อต้านที่ 57% การใช้ยา cyclophosphamide (CY) ที่ความเข้มข้น 20 มก.ต่อ กก. มีผลการต่อต้าน 60% และหากใช้ยา fluorouracil (5-FU) ที่ความเข้มข้น 30 มก.ต่อ กก. มีผลการต่อต้าน 72%

ขณะเดียวกันก็พบว่า สารสกัดจากเห็ดกระดุมบราซิล ช่วยป้องกันการถูกทำลาย ด้วยการเสริมสร้างภูมิต้านทาน เพื่อป้องกัน reticuloendothelial system ถูกทำลายโดยยารักษาโรคมะเร็ง และยังช่วยฟื้นสภาพได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น

Table 8
Comparison of anticancer effect of ATOM and other anticancer medicines against Ehrlich ascites cancer

12. สารสกัดจากเห็ดกระดุมบราซิล ช่วยกระตุ้นภูมิต้านทานในเซล เพิ่มพลังหรือประสิทธิภาพให้แก่ระบบคุ้มกันและยับยั้งเซลมะเร็ง Agaricus Blazei Murrill stimulates the immunocompetent cells, improves the immunity function and stops the activity of cancer

การศึกษาผลของมะเร็งในถุงน้ำดี ที่มีปัญหาเกี่ยวกับภูมิต้านทานที่ต่ำและอ่อนแอมาก การตรวจดูผลเพื่อจะเป็นการพิสูจน์ว่า สารสกัดจากเห็ดกระดุมบราซิลมีผลต่อการฟื้นฟูระดับภูมิต้านทานหรือไม่ พบว่าเมื่อให้สารสกัดจากเห็ดกระดุมบราซิลเข้าไป ทำให้ระดับของ Thy1 และ Thy2 positive cell (ซึ่งเป็น Marker หรือตัวแทนที่ใช้ในการตรวจสอบของเซลตัวช่วยหรือตัวกระตุ้น (Helper/inducer T-cell) และ Asisalo GM1 เป็น marker สำหรับ Killer cells (เซลเพชฌฆาตหรือเซลนักล่าธรรมชาติ) และเซลต่อต้านสิ่งแปลกปลอมล้วนแล้วแต่มีระดับที่ดีและสูงขึ้น ผลจากการเฝ้าสังเกตจะเห็นได้ว่า สารสกัดจากเห็ดกระดุมบราซิล เป็นสารที่สามารถต่อต้านและยับยั้งเซลมะเร็งได้ โดยไปเพิ่มสมรรถภาพการทำงานของ T-cells (ซึ่งเป็นหน่วยบัญชาการในขบวนการของภูมิต้านทาน) และยังทำงานร่วมกับเซลต่อต้านสิ่งแปลกปลอม(Macrophage) และเซลนักล่าธรรมชาติ(Natural killer cells) ที่ทำหน้าที่เป็นฝ่ายป้องกัน (Guards) และฝ่ายปฏิบัติการ(Soldiers)ไปพร้อมกัน
13. สารสกัดเห็ดกระดุมบราซิลช่วยต่อต้านยับยั้งมะเร็งท้องบวม (Ascites cancer) Agaricus Blazei Murrill is also effective against ascites cancer

การผลของสาร Polysaccharides ที่ได้จากเห็ดหิ้งทั้งหลาย เช่น เห็ดหลินจือ เห็ดฮุนชิ ล้วนแล้วแต่สามารถป้องกันและยับยั้งเซลมะเร็งชนิด sarcoma 180 ได้ แต่ไม่สามารถยับยั้งเซลมะเร็งที่เรียกว่า มะเร็งท้องบวม ซึ่งเป็นมะเร็งที่มีการแพร่กระจายและเห็นผลช้า (ส่วนมากมันจะอยู่อย่างกระจัดกระจายทั่วร่างกายหรือลอยอยู่ตามเยื้อบุช่องท้อง) (they are scattered and floating under the peritoneum) อันได้แก่ มะเร็ง Ehrlich ascites cancer

เมื่อมีการปลูกถ่ายเชื้อ Ascites cancer ลงในสัตว์ทดลอง พบว่าสัตว์ทดลองจะตายลงภายใน 2 สัปดาห์ สาเหตุการตายของสัตว์เนื่องมาจากเซลมะเร็งเนื้อร้ายชนิดนี้ โดยสาร Polysaccharides ในเห็ดทั่วไปไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันหรือต่อต้านเซลมะเร็งประเภทนี้ได้ทัน แต่จากตารางที่ 7 แสดงให้เห็นถึงผลของสารสกัดจากเห็ดกระดุมบราซิล ที่มีผลต่อการต่อต้านและยับยั้งเซลมะเร็ง Ascites cancer ได้ จึงแตกต่างจากการใช้ยาสมุนไพรหรือยาพื้นบ้านสูตรทั่วๆไปได้ (Could not be expected by using traditional immunoactivating medicines)

Table 7
Anticancer effect of ATOM against Ehrlich ascites cancer

14. เห็ดกระดุมบราซิลมีกรดไขมันที่สามารถป้องกันและยับยั้งเซลมะเร็งได้ Agaricus Blazei Murrill’s lipid section is also anticancer active

ในบรรดาสารประกอบ Polysaccharide ในส่วนที่เป็นไขมัน(lipid) ได้พบว่ามีคุณสมบัติต่อต้านโรคมะเร็งที่โชว์ในรูปที่ 6 หนูจำนวน 10 ตัว ถูกปลูกถ่ายเซลมะเร็งท้องโต (Ascites cancer) ปรากฏว่าหนูมีชีวิตอยู่ได้เพียง 15 วันโดยเฉลี่ย แต่มีหนูอีกกลุ่มหนึ่งในจำนวนเท่ากันที่ผ่านการฉีด Ascites cancer เข้าไป แล้วให้กินสารสกัดจากเห็ดกระดุมบราซิลที่เป็นกลุ่มของ lipid section ในอัตรา 150 mg. /kg. พบว่าสามารถมีชีวิตอยู่ได้นาน 19.7 วัน และหากกิน 300 mg. /kg. จะอยู่ได้นาน 30.6 วันโดยเฉลี่ย โดยพบว่า 2 ใน 10 ของหนู นั้นโรคมะเร็งได้หายสนิท ดังนั้นในส่วนของไขมันในเห็ดกระดุมบราซิลนั้น สามารถยืนยันได้ว่ามีคุณสมบัติในการต่อต้านมะเร็ง Ehrlich ascites cancer

15. เห็ดกระดุมบราซิลช่วยกระตุ้นในการสร้างเซลของภูมิต้านทาน (Agaricus Blazei Murrill activates macrophage) active

เห็ดกระดุมบราซิลมีส่วนประกอบที่เป็นไขมัน (lipid) 3.6% โดย 26.8% ของไขมัน เป็นพวกที่มีฤทธิ์เป็นกลาง (neutral lipid) และอีก 73.2% เป็นพวก Phospholipid คือไขมันหลักในเห็ดชนิดนี้ ไขมันเห็ดจะถูกย่อยหรือแตกสลายเป็น linolic, palmitic, oleic และ palmitoleic acids ซึ่งตัวไขมันดังกล่าวแสดงผลยับยั้งเซลมะเร็งท้องโต (Ascites cancer) ได้เซลสร้างภูมิต้านทาน (Macrophage) ได้ถูกให้เกิดหรือกระตุ้นให้เพิ่มขึ้นเมื่อได้รับไขมันดังกล่าวจากเห็ดกระดุมบราซิล เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่า เซลของภูมิต้านทานที่ถูกกระตุ้น (Activated macrophage) มีบทบาทสำคัญในขบวนการทางชีววิธีที่จะเข้าไปขัดขวางการเจริญของเซลมะเร็ง

16. เห็ดกระดุมบราซิลได้ถูกพิสูจน์แล้วว่าได้ผลดีกว่าการใช้ยา Agaricus Blazei Murrill proved to be more effective against ascites cancer than other anticancer medicines

เห็ดกระดุมบราซิลได้รับการพิสูจน์ยืนยันว่า มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคมะเร็งได้ดีกว่ายาเคมีอื่นใด สาร Polysaccharides ที่มีคุณสมบัติในการยับยั้งและต่อต้านมะเร็งที่ได้จากเห็ดชนิดอื่นๆนั้น ส่วนใหญ่ได้รับการพิสูจน์ว่าได้ผลดีเกี่ยวกับมะเร็งที่เป็นจุดหรือเป็นก้อนเท่านั้น (Solid cancer) อย่างไรก็ตามดังได้กล่าวมาแล้วว่า Polysaccharides ที่ได้จากเห็ดกระดุมบราซิลนั้น สามารถต่อต้านหรือยับยั้งมะเร็งที่เป็น Ascites และ Solid cancer ได้ จากตารางที่ 8 แสดงให้เห็นถึงผลของการเปรียบเทียบระหว่าง Polysaccharides ที่ได้จากเห็ดกระดุมบราซิล เทียบกับยารักษาโรคมะเร็งท้องโต (Ehrlich ascites cancer) ที่ปลูกถ่ายใส่ในหนูทดลอง โดยใช้สารสกัดจากเห็ดกระดุมบราซิลและยาในอัตราความเข้มข้นต่างกัน ดังที่แสดงในตารางที่ 8 โดยทำการฉีดสารมะเร็งเข้าไปในหนู 24 ชั่วโมง แล้วให้สารต่างๆตามตารางอย่างต่อเนื่องติดต่อกัน 10 วัน ทำการเปรียบเทียบอัตราการรอดตายของหนูทดลองแต่ละกลุ่ม ปรากฏว่ากลุ่มที่ให้สารสกัดจากเห็ดกระดุมบราซิล 100 mg. / kg. มีอัตราการรอด 168.5% เมื่อเทียบกับหนูกลุ่มเปรียบเทียบ (Control group) และอายุยืนยาวนานกว่าถึง 237% ด้วยการใช้ร่วมกับ MFC (1/3 ของ mitomycin C, fluorouracil และ cytosine arabinosid) และเป็นการยืนยันว่า การใช้สารสกัดจากเห็ดกระดุมบราซิล 50 mg. /kg. และ 100 mg. / kg. ได้ผลดีกว่าการใช้ยา fluorouracil หรือ cytosine arabinosid ดังนั้นสารสกัดจากเห็ดกระดุมบราซิล (ATOM = จากเส้นใยเห็ด) มีประสิทธิภาพในการต่อต้านรักษาโรคมะเร็งท้องโตได้ดีกว่ายาที่ได้รักษาโรคมะเร็งโดยทั่วไป

Table 8
Comparison of anticancer effect of ATOM and other anticancer medicines against Ehrlich ascites cancer

17. เห็ดกระดุมบราซิลช่วยเสริมสร้างขบวนการ reticuloendothelial ได้ดียิ่งขึ้น Agaricus Blazei Murrill activates reticuloendothelial system function

เซลล์ Reticular ในตับ ม้าม (spleen) ระบบน้ำเหลือง (lymphoid tissues) ไขกระดูก และเซลเม็ดเลือดขาวที่เป็นสิ่งสำคัญในการต่อต้านสิ่งแปลกปลอมในปอด (macrophage neutrophils) และภายใต้เยื่อบุท้อง (peritoneum) ล้วนแล้วแต่มีผลเกี่ยวข้องกับขบวนการในระบบของ reticuloendothelial system activity ผลของการทดลองพบว่า หลังจากปลูกถ่ายเซลมะเร็ง Ascites cancer ให้หนูแล้ว 24 ชั่วโมง ให้หนูกินสารสกัดจากเห็ด (ATOM) ติดต่อกัน 10 วัน ในอัตรา 150 และ 300 mg. /kg. (ATOM) ค่าของภูมิต้านทานขนาดใหญ่ (phagocytosis index K) (ซึ่งเป็นค่าของขบวนการสร้างเยื่อใยในเซลเพื่อใช้ในการกอดรัดสิ่งแปลกปลอมขนาดใหญ่ เช่น แบคทีเรีย โปรโตซัว เซลบอบบาง และสารคอรอยส์, ค่าของคาร์บอนที่หายไป จะเป็นตัวบ่งชี้หรือเครื่องกำหนดการวัดในการทดลอง) เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเปรียบเทียบกับ Control ในตารางที่ 7
ผลของมันมีส่วนคล้ายกับการรับประทานยา picibanil 10KE/kg (ยานี้สกัดมาจากเชื้อ streptobacteria group A type 3) หรือสารสกัด PSK 100mg/kg ที่ได้มาจากเห็ดฮุนชิ (Coriolus versicolor)

ขนาดของตับ ม้าม และต่อมไซมัส เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับ Control เมื่อมีการให้กินสารสกัดจากเส้นใยเห็ดกระดุมบราซิล (ATOM) ทางปาก ดังตารางที่ 8 แสดงให้เห็นว่า การเพิ่มน้ำหนักของตับ ม้าม และต่อมไซมัส มีผลต่อการเพิ่มความต้านทานมะเร็ง ของการใช้เห็ดกระดุมบราซิลร่วมกับยารักษาโรคมะเร็ง และเพื่อป้องกันผลข้างเคียงของการใช้ยาไปด้วย

18. เห็ดกระดุมบราซิลสามารถไขปริศนาหรือแก้ปัญหาโรคภูมิแพ้โดยไม่มีผลข้างเคียง Agaricus Blazei Murrill can be a solution to allergic diseases without fear of side effects

เมื่อสิ่งแปลกปลอมต่างๆเข้าไปในร่างกาย (foreign substance = antigen) อันได้แก่เชื้อไวรัส ละอองเกสร ฝุ่นละอองเข้าไปในร่างกาย ร่างกายของมนุษย์จะแยกแยะหรือจำแนกสิ่งแปลกปลอมต่างๆ พร้อมทั้งสร้างภูมิต้านทานเพื่อกำจัดสิ่งแปลกปลอม (antibody) ด้วยการขับไล่หรือทำลายขบวนการดังกล่าวเรียกว่า immunoreaction ลักษณะของโรคภูมิแพ้ อาการหืดหอบ (asthma) และเกิดจากการแพ้ในการกิน (atopy) ก็จะเป็นลักษณะของ immunoreaction โดยปกติขบวนการต่อต้านสิ่งแปลกปลอมจะถูกสร้างขึ้นเพื่อต่อต้านเชื้อโรคเท่านั้น แต่กรณีผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ปฏิกิริยาของการต่อต้านสิ่งแปลกปลอมไม่ปกติ ทำให้เป็นอันตรายต่อร่างกายด้วย ผลของการเป็นภูมิแพ้ คือ ภูมิต้านทาน(antibody) ที่เรียกว่า IgE (immunoglobulin E) ที่ถูกสร้างโดย B-cells ที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันสิ่งแปลกปลอม ที่ทำให้เกิดภูมิแพ้ เช่น ละอองเกสร ดอกสีดา (cedar pollen) โดยถือว่าเป็น ตัวการให้เกิดโรคภูมิแพ้ (allergen) เมื่อร่างกายได้รับสารกระตุ้นภูมิแพ้ (allergen) ติดต่อกันระยะหนึ่ง ภูมิคุ้มกัน IgE ก็จะถูกสร้างขึ้นมา ภูมิคุ้มกันนี้จะเข้าไปประกบกับสิ่งแปลกปลอม (mast cells) พร้อมทั้งขับสารต่างๆออกมา ทั้งการขับสาร Histamine ออกมา อันจะเป็นผลเป็นทำให้เกิดอาการแพ้ต่างๆ เช่น คัน แสบ หรืออยากจาม หรืออาจจะเกิดอาการคันใต้ผิวหนัง น้ำมูกไหล เกิดอาการหืดหอบ ล้วนแล้วแต่เป็นผลของสาร Histamine ที่ถูกหลั่งออกมาทั้งสิ้น

ดังนั้น การใช้ยา Antihistamine ที่ใช้ในการยับยั้ง Histamine จากเซลที่ทำการสร้างสารดังกล่าวนั้น จึงเป็นยาที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย รวมทั้งการใช้สารสเตอรอยด์ด้วย แต่การใช้ยาดังกล่าว จะเกิดผลข้างเคียงขึ้นไปพร้อมกัน ทำให้ง่วงนอน จากการที่เราได้ทราบว่า สารสกัดจากเห็ดกระดุมบราซิล สามารถยับยั้งและป้องกันมะเร็งได้ด้วยการเข้าไปเสริมสร้างภูมิต้านทาน (Macrophage) และช่วยเสริมประสิทธิภาพของระบบภูมิต้านทาน เร่งการเสริมสร้าง Reticuloendothelial และการทำงานของ T-lymphocyte จากการศึกษาผลของการต่อต้านโรคภูมิแพ้ของสารสกัดจากเห็ดกระดุมบราซิลด้วยน้ำร้อน ABWE(Hot water extract of Agaricus blazei Murrill) ผลของการทดลองตามตารางที่ 9 และ 10 และรูปที่ 9 จะเห็นว่า หากดูตามตารางที่ 9 ก่อน จะพบว่าผลของการต้านสาร Histamine ที่ได้รับการตรวจสอบจากเซลช่องท้อง ที่เป็นเม็ดเลือดขาวของหนูที่ไม่ได้รับการกระตุ้น ที่ถูกเหนี่ยวนำโดยสาร 48/80(Histamine Isolator) และจากการใช้สารสกัดจากเห็ดกระดุมบราซิลด้วยน้ำร้อน ที่ระดับความเข้มข้น 200, 500 และ 1,000 มก.ต่อ กก. ผลของมันคือ 77.2 ± 5.7 % , 67.4 ± 5.7% และ 49.1 ± 5.0% เทียบกับ Control ที่ไม่มีการต่อต้านเลย หรือเทียบกับการใช้ยา Antihistamine ระดับความเข้มข้น 100 มก./มล. และ 500 มก./มล. การหลั่ง Histamine อยู่ที่ 29.2 ± 5.0% และ 10.6 ± 2.1% ผลของการต้านโรคภูมิแพ้ 66.7 และ 87.9% ตามลำดับ

จากตารางที่ 10 ผลของการหลั่งสาร Histamine ในหนูที่ถูกกระตุ้นโดยสาร Anti-EWA serum ผลปรากฏว่า สารสกัดจากเห็ดกระดุมบราซิลด้วยน้ำร้อนที่ระดับความเข้มข้น 200, 500 และ 1,000 มก./มล มีผลต่อการหลั่ง Histamine 28.9 ± 3.0, 24.6 ± 2.1 และ 20.1 ± 2.3 เมื่อเทียบกับ Control ที่ 30.4 ± 3.7% ผลของการต่อต้านโรคภูมิแพ้อยู่ที่ 3.9, 19.1 และ 33.9% ส่วนของ Control นั้น เท่ากับ 0% เมื่อเทียบกับการใช้ยา Antihistamine(AH) 100} 500 มก./มล. ผลของการหลั่งสาร Histamine อยู่ที่ 24.1 ± 1.7 และ 13.8 ± 2.5% ตามลำดับ และค่าของการต่อต้านภูมิแพ้อยู่ที่ 20.7 และ 54.6% ดังนั้น จึงจะเห็นได้ว่า ระดับความเข้มข้น500 และ 1,000 มก./มล จะมีผลต่อต้านภูมิแพ้ค่อนข้างชัดเจน

ผลของการทดลองการหดตัวของเซลในลำไส้ พบว่า เมื่อมีการฉีดสาร Histamine solution ที่ระดับความเข้มที่ 120,000x จะเกิดการหดตัวของลำไส้อย่างรุนแรงและต่อเนื่อง หรือหากใช้ยา Diphenhydramin ระดับความเข้ม 1,200,000x ก็จะเกิดอาการหดตัวของลำไส้อย่างรุนแรงและต่อเนื่องเช่นเดียวกัน แต่การใช้สารสกัดจากเห็ดกระดุมบราซิลด้วยน้ำร้อน พบว่า การหดตัวของลำไส้เกิดขึ้นไม่มากนัก

แสดงให้เห็นว่า การใช้สารสกัดจากเห็ดกระดุมบราซิลด้วยน้ำร้อน นอกจากจะมีผลในการต่อต้านและรักษาโรคภูมิแพ้แล้ว มันยังไม่ก่อผลข้างเคียงอีกด้วย

19. ข้อมูลในการรักษาโรคจากโรงพยาบาลยืนยันว่า เห็ดกระดุมบราซิลมีผลดีต่อระบบหรือการทำงานของตับ Clinical data confirms that Agaricus Blazei Murrill improves hepatic function

จากผลของการทดลองและเก็บข้อมูลจาก Dr. Wang Jun Zhi แห่งสถาบัน Medical Institute of China พบว่า การรับประทานเห็ดกระดุมบราซิลวันละ 20 มก. จะทำให้ระบบการทำงานต่างๆของร่างกายดีขึ้น รวมทั้งการทำงานของตับ และการต่อต้านไวรัสบีในตับ ก็จะมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ดร.หวัง ได้ทดลองกับผู้ป่วย 20 คน โดยแบ่งเป็นกลุ่ม พร้อมทั้ง Control ด้วย แต่ละกลุ่มจะรับประทานเห็ดกระดุมบราซิล ยกเว้นกลุ่ม Control ที่ให้รับประทานอาหารทั่วไป หลังจากให้รับประทานเห็ดอย่างต่อเนื่องวันละ 20 มกต่อวัน เป็นเวลา 3 เดือน พบว่า การบริโภคเห็ดกระดุมบราซิล มีผลทำให้โรคตับอักเสบดีขึ้น โดย 2 คนได้ผลดีมาก 8 คนได้ผลเป็นที่น่าพอใจ เมื่อเทียบกับกลุ่ม Control ที่ห้รับประทานอาหารทั่วไป พร้อมทั้งคุมยา วิตามิน ยา ATP,5-FU เท่านั้น ซึ่งได้ผลเด่นชัดเพียง 1 คน ได้ผลดี 6 คน และไม่ได้ผลเลย 3 คน นอกจากนี้ การรับประทานเห็ดกระดุมบราซิล ยังส่งผลทำให้ระบบของตับดีและเห็นได้ชัดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลของ GOT และ GPT ที่เป็นจุดเชื่อมต่อกับถุงน้ำดี โปรตีนที่มีเหล็กเป็นองค์ประกอบ total bilirubin และ prothrombin ที่ทำให้การทำงานของระบบตับเป้นปกติและดีขึ้น นี่เป็นการยืนยันและพิสูจน์ให้เห็นว่า เห็ดกระดุมบราซิลช่วยแก้ปัญหาโรคไวรัสบีในตับ หรือตับอักเสบอย่างร้ายแรง และผลจะครอบคลุมได้ไปค่อนข้างนาน

20. เห็ดกระดุมบราซิลช่วยเสริมสร้างความแข็งแรง หรือภูมิต้านทาน เป็นผลทำให้การทำงานของตับอ่อนมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น Agaricus Blazei Murrill’s immunopotentiation effect strongly supports pancreas

ในที่นี้จะขอกล่าวถึงเรื่องผลของเห็ดกระดุมบราซิลต่อโรคเบาหวาน ซึ่งโรคดังกล่าวก่อให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆมากมาย โรคเบาหวานเกิดจากการเสื่อมสมรรถนะของการสร้างฮอร์โมนอินซูลินไม่เพียงพอ โดยฮอร์โมนดังกล่าวถูกสร้างมาจากตับอ่อน โดยฮอร์โมนอินซูลินนี้เอง ที่จะทำให้ร่างกายย่อยน้ำตาลกลูโคสในเส้นเลือดให้เป็นพลังงานของร่างกาย เมื่อฮอร์โมนอินซูลินมีไม่เพียงพอหรือปริมาณที่ขาดแคลน ร่างกายจะไม่สามารถรับพลังงาน หรือใช้พลังงานจากน้ำตาลในเลือดได้ไม่หมด ทำให้มีน้ำตาลหลงเหลืออยู่ในเลือด เป็นเหตุให้ร่างกายอ่อนเพลีย ระบบภูมิคุ้มกันจะหย่อนประสิทธิภาพลง ผลที่ตามมา ทำให้เชื้อโรคหรือสิ่งต่างๆเข้าไปในร่างกาย ทำให้เกิดความผิดปกติ และก่อให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆนานา ดังนั้น การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด การดูแลรักษาด้วยยา จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก รวมทั้งการควบคุมอาหาร และการออกกำลังอย่างเหมาะสม โดยฮอร์โมนอินซูลินจะถูกฉีดเข้าไปให้แก่ผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวาน แต่อย่างไรก็ตาม การฉีดฮอร์โมนอินซูลิน ส่วนใหญ่มักจะมีผลข้างเคียงตามมาเสมอ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับวิธีการรักษาและปริมาณของฮอร์โมนอินซูลินที่ฉีดเข้าไป ผลของการฉีดฮอร์โมนอินซูลินมักจะเกิดผลข้างเคียงที่เรียกว่า Hypoglycemia การที่จะสรรหาหรือค้นหาวิธีการในการรักษาโรคเบาหวานที่ไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงโดยไม่ใช้ยานั้น เป็นเรื่องที่ทุกคนปรารถนา การบริโภคเห็ดกระดุมบราซิลได้รับการพิสูจน์และได้รับผลที่ดีว่าสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของตับอ่อน ทำให้เกิดการสร้างฮอร์โมนอินซูลินได้อย่างน่าทึ่งมาก

21. เห็ดกระดุมบราซิลช่วยป้องกันการแทรกซ้อนของโรคสำหรับผู้ป่วยเบาหวานได้ Agaricus Blazei Murrill contributes to the prevention of diabetes-related complications

เป็นเรื่องที่น่าเศร้าว่า ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการใดที่รักษาโรคมะเร็งให้หายขาดได้ อย่างไรก็ตาม การปล่อยปละละเลยที่จะดูแลรักษาโรคเบาหวาน ล้วนแต่จะเกิดปัญหาโรคแทรกซ้อนตามมา และนี่มักเป็นปัญหาอย่างใหญ่หลวงที่ผู้ป่วยมักเสียชีวิตจากโรคแทรกซ้อนมากกว่า ดังนั้น การรักษาโรคเบาหวาน จึงมุ่งไปที่การรักษาระดับของน้ำตาลในเลือด และป้องกันโรคแทรกซ้อนต่างๆ เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า เส้นใย(Fiber) ในผักสด จะช่วยป้องกันการเพิ่มของน้ำตาลในเลือดได้ คำว่าเส้นใยในผัก (Vegetable fiber) หมายถึง สิ่งต่างๆที่เป็นเซลลูโลสในผัก ที่ไม่สามารถถูกย่อยสลายได้จากระบบการย่อยในร่างกายของมนุษย์ได้ สารประกอบต่างๆที่มีอยู่ในเส้นใยผัก ได้แก่ indigestible high polymer polysaccharides, cellulose, pectic substance, chitin and chitosan.

ความสำคัญและความจำเป็นที่เราจะต้องรับประทานเยื่อใยจากพืชเข้าไป เพราะ

1. เส้นใยในพืชมีพลังงานต่ำ
2. ไม่ใช่ตัวกระตุ้น หรือตัวใช้ฮอร์โมนอินซูลิน
3. มันจะช่วยยับยั้ง หยุดและทำให้การดูดซึมธาตุอาหารเข้าไปในร่างกายช้าลง ซึ่งจะเป็นผลทำให้น้ำตาลเข้าไปในเลือดช้าลงไปด้วย

เห็ดกระดุมบราซิลมีส่วนสำคัญที่เป็น Vegetable fiber สูงมาก อันได้แก่ b-D-glycans, heteropolysaccharides(peptic substance, hemicellulose) และ ไคตินที่มีคุณสมบัติป้องกันภาวะแทรกซ้อน ช่วยป้องกันเส้นเลือดตีบตัน และช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือด ที่ถือว่ามีส่วนสำคัญยิ่ง นอกจากนี้เห็ดกระดุมบราซิล ยังมีส่วนประกอบของ Linolic acid ที่มีคุณสมบัติเช่นเดียวกับเส้นใยของผัก และช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้ด้วย

เห็ดกระดุมบราซิล ยังเป็นอาหารที่มีค่าทางโภชนาสูง มีกรดอะมิโนที่จำเป็นหลายชนิด มีวิตามินบีและดี ธาตุแมกนีเซียมและโปแตสเซียม เป็นต้น โดยปกติผู้ป่วยเบาหวานจะต้องหลีกเลี่ยงอาหารที่มีพลังงานสูง แต่อาหารต่างๆเหล่านี้ มักจะขาดวิตามินและเกลือแร่ที่ร่างกายมนุษย์ต้องการด้วย แต่เห็ดกระดุมบราซิล แม้ว่า จะเป็นแหล่งอาหารที่มีแหล่งพลังงานต่ำ แต่กลับมีวิตามินและเกลือแร่ที่เป็นประโยชน์สูง จึงสามารถใช้เป็นอาหารอย่างดีสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน

การดูแลรักษาโรคเบาหวาน ต้องใช้เวลานาน ดังนั้น แทนที่จะหวังพึ่งการใช้ยารักษาแต่เพียงอย่างเดียว ซึ่งการใช้จะมีผลข้างเคียงตามมาด้วย ผู้ป่วยโรคเบาหวานสามารถบริโภคเห็ดกระดุมบราซิลโดยปราศจากความสงสัยว่าจะมีผลต่อการรักษาเบาหวาน เพราะได้รับการพิสูจน์แล้วจากประเทศญี่ปุ่น โดยไม่มีปัญหาของผลข้างเคียงอีกด้วย

22. เห็ดกระดุมบราซิลช่วยซ่อมแซมและรักษาขบวนการสร้างเม็ดเลือดแดง Many effective components included in Agaricus Blazei Murrill repair and maintain homeostasis

ผลของการักษาโรคด้วยยา และผลของผลข้างเคียงในการใช้ยา ทำให้เกิดความกังวลแก่ผู้ป่วยเป็นอย่างยิ่ง จึงเกิดการใฝ่ฝันหรือเปลี่ยนแนวทางการรักษาไปตามวิถีทางการรักษาโรคตามแบบชาวตะวันออกกันมากยิ่งขึ้น เนื่องจากวิธีการรักษาโรคตามแนวทางของคนทางตะวันออกนั้น จะมุ่งเน้นการรักษาด้วยการเสริมสร้างภูมิต้านทาน และการสร้างเม็ดเลือดให้เป็นปกติเป็นหลัก โรคต่างๆ เป็นเพียงสิ่งแปลกปลอม ที่ทำให้ระดับความสมดุล และภูมิต้านทานเสื่อมลงเท่านั้น ดังนั้น การบำรุงรักษา ซ่อมแซมสมดุลดังกล่าว จึงเป็นหลักการของแพทย์ตะวันออก โดยมุ่งเน้นไปในเรื่องของ โรคเหน็บชา เมื่อยล้า ความร้อนเย็นในร่างกาย อาการปวดบั้นเอว การปรับเปลี่ยนของอากาศ และโรคกังวล ขบวนการซ่อมแซมส่วนต่างๆของร่างกาย และการเสริมสร้างเม็ดเลือดแดงให้เป็นปกตินั้น เท่ากับเป็นการรักษาโรคโดยปริยาย โรคร้ายแรงและเรื้อรังต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น against chronic hepatitis, chronic rheumarthritis and bronchial asthma, ซึ่งล้วนแล้วแต่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยยาแผนปัจจุบันจากแพทย์ตะวันตก

ผลของงานวิจัยเห็ดกระดุมบราซิลต่อผู้ป่วยโรคเอดส์ขั้นสุดท้าย

Research on the treatment of acquired immune deficiency syndrome (AIDS)
ผลของคณะวิจัยชาวญี่ปุ่น ที่เลือกมาทดสอบสารสกัดจากเห็ดกระดุมบราซิลมาทดลองกับผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือเอดส์ขั้นสุดท้ายในประเทศไทย เพราะเป็นประเทศที่มีผู้ป่วยโรคเอดส์มากที่สุดในเอเชีย โดยได้ทลองกับผู้ป่วยขั้นสุดท้าย มีแผลผุพองเกิดขึ้นตามขอบตา ริมฝีปากและคอ ที่กำลังรอความตายในอีกไม่ช้า ปรากฏว่า ผลการทดลองให้ผู้ป่วยรับประทานสารสกัดจากเห็ดกระดุมบราซิลเป็นเวลา 3 เดือน(มากกว่าเวลาที่คาดว่าจะยังมีชีวิตอยู่) ผู้ป่วยทุกคนที่เป็นเอดส์ขั้นสุดท้าย 50 คน มีระดับภูมิต้านทานสูงขึ้นอย่างชัดเจน แผลผุพองหายไป และสามารถออกจากโรงพยาบาลได้ ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น สำหรับการรักษาโรคเอดส์ ที่ยังไม่มียาชนิดใดที่สามารถรักษาโรคเอดส์ให้ได้ผลดี แต่ผลของการใช้สารสกัดจากเห็ดกระดุมบราซิลสามารถยืดอายุผู้ป่วยโรคเอดส์ แม้เป็นขั้นสุดท้าย ให้มีอายุยืนอีกต่อไปได้ ผลของการทดลองและรายละเอียดต่างๆ ไม่ได้มีการเผยแพร่ แต่ได้มีการนำเอาสารสกัดจากเห็ดกระดุมบราซิล เพื่อใช้รักษาโรคเอดส์ไปจดทะเบียนลิขสิทธิ์ที่ประเทศอเมริกา โดยได้หมายเลขสิทธิบัตร ดังนี้

A U.S. Patent as an oral remedy for AIDS has been obtained. Patent Number : 6120772
Registration filing is also being made in Canada, Mexico and 15 European countries.
(The Brazilian countory Ministry of Health and Welfare registration number : MS 001-002-004. 358-98)

แต่ด้วยเหตุที่เห็ดกระดุมบราซิล มีส่วนในการซ่อมแซมและเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน มีธาตุอาหารที่ร่างกายต้องการ มันจึงเป็นสมบัติชิ้นสุดยอดของโลกในปัจจุบัน ที่มนุษย์สามารถเพาะมันขึ้นมาได้ เพื่อมาช่วยแบ่งเบาภาระเกี่ยวกับการรักษาโรคร้ายหลายชนิดของมนุษย์ และนี่คือ สาเหตุที่สำคัญ ที่รัฐบาลญี่ปุ่นได้ทุ่มเทเกี่ยวกับงานวิจัย และทำการผลิตเห็ดชนิดนี้ ด้วยการส่งคนไปทำการเพาะเห็ดกระดุมบราซิลในหลายประเทศ เพื่อส่งป้อนเข้าไปผลิตเป็นยาที่ดีที่สุดในโลกปัจจุบัน สำหรับความอยู่ดีกินดี ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ ปราศจากผลข้างเคียง ญี่ปุ่น จึงกลายเป็นประเทศที่พลเมืองมีอายุยืน และทำการผลิตเห็ดกระดุมบราซิล เพื่อผลิตเป็นยาหรืออาหารเสริมขายไปทั่วโลกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ทำรายได้ให้แก่ญี่ปุ่นปีละหลายหมื่นล้านบาท บัดนี้ ดร.อานนท์ เอื้อตระกูล ผู้มีประสบการณ์ไปเป็นผู้เชี่ยวชาญเห็ดในหลายประเทศทั่วโลก ให้แก่องค์การสหประชาชาติมานากว่า 25 ปี ได้พัฒนาเทคโนโลยีการเพาะเห็ดกระดุมบราซิลในประเทศไทยอย่างได้ผลตลอดปี ไม่แพ้ประเทศอื่นใดในโลกเลย และยังได้ค้นพบสูตรส่วนผสมของเห็ดกระดุมบราซิลผสมกับเห็ดอื่นๆที่มีคุณสมบัติทางยาเสริมกัน รวมทั้งสมุนไพรบางชนิด ที่ใช้กับโรคชนิดต่างๆอย่างได้ผล