เห็ดหลินจือที่ผิดปกติ Unusual Apprearance Ganorderma

บทความโดย ดร.อานนท์ เอื้อตระกูล

ผมพูดเรื่องของเห็ดหลินจือแบบมีเขาว่า มันเป็นเห็ดไม่สมบูรณ์ เป็นเห็ดที่มีอาการผิดปกติ ไม่มีหมวก เพราะขณะที่มันเกิดดอกนั้น หากมีสภาพแวดล้อมที่ขาดอากาศ มันจะมีแต่ก้าน คล้ายเขา ดังนั้น สรรพคุณมันจึงไม่มีอะไรดีเป็นพิเศษ ด้วยความหวังดี จึงเตือนว่า อย่าเสียเงิน เสียทองไปซื้อเห็ดหลินจือผิดปกติ เห็ดหลินจือไม่สมประกอบมากินให้เสียเงินเลย แม้ว่า จะมีการโฆษณาตามสื่ออย่างบ้าเลือดว่า เห็ดหลินจือแบบเขามีสรรพคุณเลอเลิศอย่างนั้นอย่างนี้

ทำให้ผมคิดย้อนไปถึงในอดีต ตอนที่เรื่อง เห็ดหลินจือกำลังบูมมากๆในบ้านเรา เมื่อปี 2519 ซึ่งผมก็ได้เปิดสอนเรื่องเห็ดหลินจือตั้งแต่สมัยนั้นเป็นต้นมา    ตอนที่ผมไปอยู่ประเทศภูฎาน ผมก็พยายามไปตามหาเห็ดหลินจือที่มีเขา เพราะเขาเล่าว่า หากใครได้เห็ดหลินจือแบบเป็นเขาแล้วล่ะก็ เห็ดนั้นราคาดั่งทองคำ ก็เพราะผมอยากได้ราคาเท่าทองคำนี่เอง ที่ผมต้องไปล่า ไปผจญภัย เพื่อหาเห็ดหลินจือดังกล่าว สรุปแล้วเจอน้อยมาก เพราะเห็ดหลินจือธรรมชาตินั้น มักเกิดในที่โล่ง ดอกเห็ดจึงออกมาเป็นลักษณะ คล้ายจวักงูเห่า
อย่างไรก็ตาม ดังที่ได้กล่าวมาแล้วหลายครั้งว่า เวลาผมเจอเห็ดธรรมชาติที่ภูฎานที่เข้าท่า พอทำการทดลองแล้วน่าสนใจ ผมก็จะส่งเชื้อบริสุทธิ์มาเก็บในไทย เห็ดบางอย่าง เช่น เห็ดนางฟ้าภูฎาน ก็เป็นตัวอย่างหนึ่ง ที่ผมเป็นคนเอามาจากประเทศภูฎาน เช่นเดียวกับเห็ดหลินจือ ส่งมากี่พันธุ์ เพาะออกมาก็ไม่มีเขาสักพันธุ์

จนกระทั่ง เมื่อปี 2531 มีศิษย์ผมท่านหนึ่ง(ไม่กล้าเรียกลูกศิษย์ เพราะตอนที่ท่านมาเรียนเห็ดกับผมเมื่อปี 2521 นั้น ท่านอายุ 76 ปี ขณะที่ผม 30 ปี) ชื่อ อาแป๊ะจงเม้ง ได้เอาพันธุ์หลินจือ ที่ผมเอามาจากประเทศภูฎานไปเพาะที่หมู่บ้านสวนสน เพื่อจะเอาไปดองกับน้ำผึ้ง หมักโดยเห็ดรัสเซีย(ท่านน่าจะเป็นอาจารย์ของป้าเช็งโดยบังเอิญ เพราะท่านทำน้ำหมักขายมาตั้งแต่ปี 2521 หลังอบรมเห็ดเสร็จ ซึ่งป้าเช็งเพิ่งมาเริ่มเมื่อปี 2527    แกเอาน้ำหมักเห็ดหลินจือไปขายที่บ้านเดิมที่ชุมพร และกรุงเทพ สร้างความฮือฮาและออกหนังสือพิมพ์หลายครั้ง คนกินน้ำหมักของลุงจงเม้งแล้ว จะแข็งแรง เนื้อหนังมังสากลับเป็นหนุ่มเป็นสาวใหม่ ใครเป็นโรคอะไรก็หายวันหายคืน จนกระทั่งลุงจงเม้ง กลายเป็นหมอเทวดา และมียาวิเศษไป แต่ตอนหลังท่านดังมาก ผันตัวเองเป็นคนใบ้หวย แล้วก็เสียชีวิตไปตอนอายุเก้าสิบกว่าๆ ที่เอาเรื่องนี้มาพูดเสียยืดยาว ก็เพราะอยากจะเข้าเรื่องว่า

มีครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นช่วงอากาศในกรุงเทพหนาวจัดในปี 2531 เห็ดหลินจือ ชะงักหรือหยุดการเจริญเติบโต เพราะอากาศหนาว ขณะที่ลูกค้าของคุณลุงจงเม้ง ต้องการน้ำหมักเห็ดหลินจือกันเยอะมาก ด้วยความที่ลุงจงเม้ง ต้องการที่จะให้เห็ดหลินจือออกดอกให้เร็ว แม้อากาศหนาวเย็น ท่านก็เอาผ้าพลาสติกมาคลุม แล้วเอากาน้ำต้มน้ำให้ร้อนพ่นไอน้ำใส่เข้าไปด้วย ปรากฎว่า พออากาศภายในโรงเรือนอุ่นขึ้น เห็ดหลินจือ ก็เริ่มออกดอกทันที แต่ดอกออกมาผิดปกติหมด เห็ดที่ออกมาทุกถุง มีอาการผิดปกติเป็นลักษณะคล้ายเขา ทำอย่างนี้ ซ้ำแล้วซ้ำอีก จึงแน่ใจว่า อ๋อ ไอ้เจ้าหลินจือ ที่ผมข้ามน้ำข้ามทะเลไปหา เพื่อให้ได้พันธุ์ที่เป็นเขานั้น จริงๆแล้ว มันไม่ได้เป็นเขาเพราะว่า เป็นลักษณะพันธุ์ของมัน แต่ที่มันเป็นเขา เพราะมันขาดอากาศ มันจึงออกมามีอาการผิดปกติ คือ มีแต่ก้าน ไม่มี ดอก ดังรูปเมื่อปี 2531 ที่บ้านของคุณลุงจงเม้งครับ

     

เมื่อผมทราบแล้วว่า เจ้าเห็ดหลินจือ ที่เกิดขึ้นในสภาพที่ขาดอากาศ หรืออากาศไม่พอ ดอกเห็ดจะออกมาผิดปกติ ไม่มีดอก มีแต่ก้าน เป็นกิ่งคล้ายเขา ผมเลยไม่ได้ให้ความสนใจมันมากนัก แต่เวลาผมนั่งเครื่องบินไปแอฟริกาใต้ก็ดี บางครั้งแวะที่สิงคโปร์ หรือไปญี่ปุ่น บางทีผมก็แวะที่ฮ่องกง ผมมักจะหาเวลาว่าง ไปดูว่าร้านขายยาตะวันออก หรือยาจีนเขามีอะไรบ้างที่น่าสนใจ ทุกครั้ง ผมก็จะสะดุดอยู่ที่ เห็ดหลินจือแบบเขา ที่มีขายกันเยอะมาก และราคาแพงกว่า เห็ดหลินจือ ปกติหลายเท่า เช่น สมมุติว่า เห็ดหลินจือ พันธุ์ที่มีดอกปกติ กก.ละ 2,000 บาท เห็ดหลินจือแบบเขาก็จะราคากว่า สองหมื่นบาท เป็นต้น เมื่อมีโอกาสไปไต้หวัน ยิ่งไปเห็นเกษตรกรที่ไต้หวันเขาเพาะเห็ดหลินจือธรรมดาทั่วไปนี่เอง เพียงแต่ตอนกระตุ้นให้เห็ดเกิดดอกโผล่ออกมาจากถุงได้ประมาณสัก 3-5 ซม. เขาก็จะเอาผ้าพลาสติกมาคลุม เพื่อไม่ให้อากาศเข้า เห็ดหลินจือที่ออกมา จะผิดปกติทั้งหมด จะออกมาเป็นลักษณะเขา
ซึ่งเขาเล่าให้ฟังว่า หากเห็ดหลินจือผิดปกติออกมาเป็นเขาได้ เขาจะได้ราคาดีขึ้น ขอให้ท่านสมาชิกที่ติดตามบทความผม ลองย้อนไปอ่านบทความบางตอน ที่คนทางอเมริกาแทรกเข้ามาขอคุยด้วยกับผมสิ ที่นั่นเขากำลังตื่นตัวเรื่อง เห็ดหลินจือกันมากๆ ชนิดที่บูม หรือบ้า คล้ายๆบ้านเราเมื่อสามสิบปีที่แล้วเลย แต่เนืองจาก เห็ดหลินจือ เป็นเห็ดที่ชอบอากาศร้อน ดังนั้น ที่อเมริกาเขาอากาศหนาว ดังนั้น เขาจำเป็นต้องเพาะเห้ดหลินจือ โดยใช้เครื่องทำความร้อนชื้น คือ ใช้ไอน้ำเข้าช่วย เพื่อให้อุณหภูมิห้องสูงขึ้น ทำให้สภาพของห้องเพาะเห็ดหลินจือ ขาดอากาศ เห็ดหลินจือ ที่เกิดมาทุกดอกที่อเมริกา จึงมีลักษณะเป็นเขาแทบทุกดอก

The fruiting bodies look as those one believes to have more medicinal properties but in fact this is a unusual apperances or abnomal one due to either lack of fresh air
But in term of business, if it look like a deer horn then the price could be triple or even more just like the one shown

As per one is fully aware that most of medicinal substances in mushroom like B glucans(polysaccharides), Triterpene etc are in the very complex and big melecules(over hundred thousand Dalton whereas glucose is only 180 Dalton). It is therefore, human body could not directly absorb into the body system unless being digested or simplified by useful microorganisms in the body call “Probiotic”. In case of those who used to take gasified drink containing preservatives or take antibiotic it might harm to Probiotic in the body so that when those person take medicinal mushroom may not be given full effectiveness. By using Probiotic microorganisms namely UM55 adding into medicinal mushroom then allow it to ferment for few weeks for effective digestion and receive maximum fresh enzyme and the benefit of medicinal mushroom to human body

ใหม่ๆ เขาดีใจมาก ที่เพาะเห็ดหลินจือ เป็นแบบเขาได้ ส่งรูปมาอวดผมเป็นร้อยเป็นพันรูป ผมเห็นแล้ว เกรงว่า นี่จะบ้ากันไปใหญ่อย่างเช่นเมืองไทยเสียกระมัง ผมก็เลยบอกว่า ที่คุณส่งรูปมารกในเฟสผมนั้น มันไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับผม แต่มันเรื่อง ของเห็ดผิดปกติ เห็ดปัญญาอ่อน เพราะมีแต่ก้าน ไม่มีดอก ไม่มีหัว(ผมจึงเรียกว่า เห็ดปัญญาอ่อน)

เดี๋ยวนี้ สังคมไทย ดูเหมือนจะมีคนบางคนบางกลุ่ม แม้ดูหน้าดูตา ฐานะ ชื่อเสียงมากมาย ที่อาจจะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไปเชื่อโฆษณาเห็ดหลินจือแบบเขา แล้วซื้อไปกิน บางคนก็เริ่มเห็นเขางอกขึ้นมาบ้างแล้ว บางคนก็ขึ้นมาข้างเดียว บางคนที่กินมากหน่อย ขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดทั้งสองข้าง แต่ที่แน่ๆ ปัญญาอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด มันต้องช่วยกันกำจัดสาเหตุของโรคนี้โดยด่วน ที่มีสาเหตุจากการหลงผิดเพราะความไม่รู้ โดนคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรหลอก

ผมก็ได้เคยพูดแบบรวมๆเอาไว้ว่า การที่จะเอาเห็ดหลินจือมาบด มาต้มกินนั้น มันไม่ได้ก่อประโยชน์อะไร เพราะร่างกาย ไม่สามารถนำเอาสารที่มีสรรพคุณที่เป็นยาในเห็ดหลินจือเอาไปใช้ได้ จึงมีคำถามว่า แสดงว่าเห็ดหลินจือที่มีวางขายแบบแห้งแล้วเอามาต้มกิน หรือเป็นสปอร์เห็ดที่กินเป็นแคปซูล มันไม่มีประโยชน์หรือ   จึงขอชี้แจงดังนี้ว่า เห็ดหลินจือ เป็นเห็ดที่มีสรรพคุณทางยาดีที่สุดชนิดหนึ่งของสิ่งมีชีวิตในโลก โดยมีการใช้เห็ดหลินจือเป็นยามานานนับพันๆปีแล้ว เพียงแต่ว่า ปัจจุบัน ได้ทำการศึกษาพบว่า สารที่ทำให้เกิดสรรพคุณทางยานั้น มันเป็นสารประกอบ ที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่ เช่น สารโพลี่แซคคาไรด์ สารไตรเตอร์ปินอยด์ ซึ่งสารเหล่านี้ ร่างกายของมนุษย์จะเอาไปใช้ได้นั้น ต้องอาศัยการย่อยโดยเอ็นไซม์ของจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ที่อยู่กระเพาะ หรือที่เรียกว่า เชื้อโปรไบโอติก ซึ่งจะมีนับพัน นับหมื่นชนิดอาศัยอยู่ในระบบย่อยของเรา

เชื้อต่างๆเหล่านี้ จะทำหน้าที่สร้างเอ็นไซม์ออกมา ทำการย่อยอาหารที่เข้าไปในระบบย่อยของเรา รวมทั้งสารของเห็ดหลินจือ ระยะที่ทำการย่อย จะใช้เวลาไม่เกิน 2 ชั่วโมง โดยจะย่อยสารอาหารต่างๆให้เล็กลง หรือให้อยู่ในรูปที่ร่างกายเอาไปใช้ได้ เหมือนกับการไขลูกกุญแจเสียก่อน จากนั้น เยื่อบุภายในลำไส้เล็ก จึงจะดูดสารอาหารเอาไปใช้ได้ ตรงนี้ต่างหากที่เราจะต้องพิจารณา

กล่าวคือ หากร่างกายเราไม่มีจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์เพียงพอ หรือไม่มีเพราะถูกทำลายไป การย่อยสารต่างๆที่มีประโยชน์ หรือมีสรรพคุณทางยาในเห็ดหลินจือ หากเราทานเห็ดหลินจือเข้าไป ไม่ว่า จะเป็นการต้ม ผง เห็ดหลินจือเข้าไปในร่างกาย ร่างกายก็ไม่สามารถนำเอาสารอาหารในเห็ดหลินจือเอาไปใช้ได้ โดยปกติบุคคลทั่วๆไป มีจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในร่างกายอยู่อย่างเพียงพออยู่แล้วตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา แต่พอโตขึ้น หากเราทานอาหารที่มีสารฆ่าจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ เช่น ยาปฏิชีวนะ การฉีดวัคซีน สารกันบูด ซึ่งในบ้านเราใช้กันเยอะมาก โดยเฉพาะอาหารถุง อาหารทีขายตามข้างถนน อาหารที่เก็บไว้ได้นานๆแล้วไม่บูด ล้วนแล้วแต่ใส่สารกันบูดทั้งสิ้น ยิ่งเป็นน้ำอัดลม ยี่ห้อดังๆ ล้วนแล้วแต่ใส่สารกันบูดทั้งสิ้น(ลองเอาน้ำอัดลมเปิดฝาทิ้งไว้ดูสิ ทิ้งไว้กี่วันก็ไม่บูด เพราะเขาใส่สารกันบูดไง) อาหารที่ใส่สารกันบูดเหล่านี้ จะไปทำลายจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในร่างกาย

ดังนั้น ผู้ที่ไม่มีจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในร่างกายพอ การทานเห็ดหลินจือเข้าไป ก็จะไม่มีประโยชน์ เว้นเสียแต่ว่า เรานำเอาเห็ดหลินจือ มาทำการย่อยด้วยจุลินทรียฺโปรไบโอติกเสียก่อน อย่างนี้ ร่างกายสามารถเอาสารอาหารและสารเป็นยาไปใช้ได้เลย แม้ในร่างกายไม่มี หรือมีจุลินทรีย์โปรไบโอติกไม่มากพอ

    

หากคุณไม่มั่นใจในร่างกายของคุณว่า คุณจะมีจุลินทรีย์โปรไบโอติกไว้ย่อยอาหารเชิงซ้อน รวมทั้งสารอาหารที่เป็นยาของเห็ดหรือไม่นั้น ทีนี้ เรามาลองดูสิว่า โดยปกติ ร่างกายเรา จะใช้พลังงานได้ ก็ต่อเมื่อน้ำตาลที่อยู่ในรูปสารประกอบเชิงซ้อน เช่น แป้ง น้ำตาลทราย ถูกย่อยสลายโดยเอ็นไซม์ในร่างกาย หรือเอ็นไซม์เสริมจากอาหารสด(โปรดกลับไปดูเรื่องของเอ็นไซม์ที่ผมเขียนลงไปแล้ว 5 ตอนแล้ว และกำลังจะต่อไปอีก เป็น 11 ตอน) ให้เป็นน้ำตาลเชิงเดี่ยว เช่น น้ำตาลกลูโคส ซึ่งท่านสามารถทดลองได้ด้วยตนเอง ด้วยการทานน้ำตาลกลูโคส(ที่ใช้ชงให้เด็ก)เข้าไปสัก 1 ช้อนแกง เทียบกับลอลทานน้ำตาลทรายเข้าไป 1 ช้อนแกงเช่นกัน แล้วลองดูผลของความแตกต่างมันดูสิ ให้ลองเสียก่อน ก่อนที่จะตอบคำถามผม แต่คนที่ลองแล้ว จะเห็นว่า หากเราทานน้ำตาลกลูโคสเข้าไป เราจะรู้สึกว่า มันมีกำลังวังชาให้เห็นทันตา ขณะที่น้ำตาลทรายนั้น เฉยๆเหมือนทานข้าวทั่วไป สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะน้ำตาลกลูโคส เป็นน้ำตาลที่มีโมเลกุลเดี่ยว น้ำหนักโมเลกุล 180 ดาลตันเท่านั้น แต่น้ำตาลทราย เกิดจากน้ำตาลกลูโคส รวมตัวกันด้วยแขนยึดที่เหนียวแน่นกับน้ำตาลฟรุคโตส มีน้ำหนักโมเลกุลประมาณ 342 ดาลตัน หรือประมาณเกือบสองเท่าของน้ำตาลกลูโคส ซึ่งการที่ร่างกายจะเอาน้ำตาลทรายไปใช้ได้ จะต้องถูกย่อยให้น้ำตาลสองชนิดแยกกันเป็นโมเลกุลเดี่ยวเสียก่อน ซึ่งจะต้องใช้เวลา ทำให้เรามีความรู้สึกรับรู้ของผลของมันช้า แล้วท่านรู้หรือไม่ว่า สารเบต้ากลูแคนในเห็ด เกิดจากน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวมารวมกันมากกว่าพันโมเลกุล ยกตัวอย่างเช่น เบต้ากลูแคนในเห็ดหลินจือ มีน้ำหนักโมเลกุลมากกว่า สี่แสนตาลตัน หรือประกอบไปด้วยโมเลกุลเดี่ยวของน้ำตาลมารวมกันมากกว่า สองพันโมเลกุล ตรงนี้ไง ที่ผมบอกว่า ต่อให้เรากินน้ำต้มเห็ด น้ำสกัดเห็ด หรือผงเห็ด หรือสปอร์เห็ดเข้าไป แต่สารเป็นยา ก็ยังคงขนาดใหญ่เท่าเดิม ที่ร่างกายเอาไปใช้ไม่ได้เลย เว้นเสียต้องถูกย่อยด้วยน้ำย่อยของจุลินทรีย์ที่เรียกว่า โปรไบโอติกเสียก่อน หากในร่างกายเราไม่มี เราก็ควรเอาจุลินทรีย์ที่มีความสามารถย่อยสารเป็นยาของเห็ด ให้สลายออกมาให้อยู่ในรูปที่ร่างกายเอาไปใช้ได้เสียก่อน ในทุกเห็ดที่ใช้ทำยา โดยเห็ดที่จะเอามาทำยานั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องทำการเพาะให้ออกดอก เหมือนกับการเพาะเห็ดทั่วๆไป ที่หวังแต่ดอกเห็ดเท่านั้น ขบวนการเพาะและผลิตเห็ดเพื่อเอามาใช้เป็นยา ไม่ใช่กินดอกเห็ด ด้วยเหตุนี้ กรรมวิธีและขบวนการผลิตเห็ดที่จะนำมาทำยาจึงไม่เหมือนกันทั้งหมด

รูปของน้ำตาลกลูโคส (Glucose) และน้ำตาลทราย(Sucrose = Glucose + Fructose)

สารเบต้ากลูแคน ที่มีน้ำตาลนับพันโมเลกุลมารวมกัน
พอผมพูดเรื่องของเห็ดหลินจือแบบมีเขาว่า มันเป็นเห็ดไม่สมบูรณ์ เป็นเห็ดที่มีอาการผิดปกติ ไม่มีหมวก เพราะขณะที่มันเกิดดอกนั้น หากมีสภาพแวดล้อมที่ขาดอากาศ มันจะมีแต่ก้าน คล้ายเขา ดังนั้น สรรพคุณมันจึงไม่มีอะไรดีเป็นพิเศษ ด้วยความหวังดี จึงเตือนว่า อย่าเสียเงิน เสียทองไปซื้อเห็ดหลินจือผิดปกติ เห็ดหลินจือไม่สมประกอบมากินให้เสียเงินเลย เสียค่าโง่เสียเปล่า แม้ว่า จะมีการโฆษณาตามสื่ออย่างบ้าเลือดว่า เห้ดหลินจือแบบเขามีสรรพคุณเลอเลิศอย่างนั้นอย่างนี้ อย่างไรก็ตาม