ดังที่ผมได้เกริ่นไปแล้วว่า ผมเอาหน่อไม้ฝรั่งไปสอนเขาปลูกที่ประเทศกาน่าตั้งแต่ปี 2532 ป่านนี้ ต้นที่ผมปลูก เขายังเก็บกินได้ไปเรื่อยๆ ดังนั้น เมื่อทราบเป็นอย่างดีแล้วว่า หน่อไม้ฝรั่งมีสรรพคุณเป็นเลิศทั้งทางโภชนาการและยา(ใครยังไม่ทราบ โปรดติดตามได้ที่เวป www.anonbiotec.net) ผมจึงอยากจะแนะนำให้สมาชิก หันมาปลูกหน่อไม้ฝรั่งกินเองกันเถอะครับ เพราะ การปลูกหน่อยไม้ฝรั่งกินเอง ไม่ยากอย่างที่คิด ปลูกแล้ว จะสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้นานเป็นสิบๆปีเลยครับ
     

ประเด็นของมันอยู่ที่ การปลูกหน่อไม้ฝรั่งนั้น หากจะให้ดี จะต้องคัดเลือกสายพันธุ์ที่ดี และเหมาะสมแก่การปลูกที่บ้านเราครับ ผมจำได้ว่า ประมาณ กว่ายี่สิบปีที่แล้ว ผมมีร้านขายเมล็ดพันธุ์อยู่หลายร้าน หลายชื่อ อยู่ตรงข้ามมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ทั้งฝั่งพหลโยธินและฝั่งถนนงามวงวาน เช่น ร้าน ชมรมเห็ดสากล ร้านรวมเกษตร ร้านชมรมเพาะเห็ดสมัครเล่น ช่วงนั้น ผมนำเมล็ดหน่อไม้ฝรั่งเข้ามาจากต่างประเทศ เป็นพันธุ์ลูกผสม(F1) ได้แก่พันธุ์แมรีวอชิงตัน แคลิฟอร์เนีย300 แคลิฟอร์เนีย 500 บรุคศ์ อิมพรุ๊ฟ อะไรพวกนี้ โดยเกษตรกรซื้อไปปลูกด้วยการเสี่ยงกันเอง เพราะไม่รู้ว่าสายพันธุ์ไหนจะเหมาะสมแก่ประเทศไทยบ้าง เพราะเราเอาเมล็ดมาจากต่างประเทศ พื้นที่ที่ปลูกหน่อไม้ฝรั่งกันมาก ได้แก่ ราชบุรี กาญจนบุรี เพชรบุรี นครปฐมแถวๆกำแพงแสน สุพรรณบุรี ปากช่อง ลำปาง เป็นต้น ซึ่งก็ถือว่าได้ผลเป็นที่น่าพอใจ จนกระทั่งประเทศไทยได้ถูกจัดให้เป็นประเทศที่ผลิตหน่อไม้ฝรั่งมีคุณภาพอยู่ในลำดับต้นๆของโลก แต่อยู่ๆมา เกษตรกรผู้ปลูกหน่อไม้ฝรั่งที่ราชบุรี กาญจนบุรี สุพรรณบุรี เกิดปัญหาหน่อไม้ฝรั่งเป็นโรครากเน่าตาย และบางรายโดนหนอนเจาะกอเข้าทำลายเสียหายถึงกับต้องเลิกกินการไป ขณะที่เกิดปัญหาโรคระบาด หนอนเข้าทำลายหน่อไม้ฝรั่ง ทำให้เกษตรกรผู้ปลูกหน่อไม้ฝรั่ง ต้องใช้สารพัดยาแรงทั้งยาฆ่าเชื้อดณคและยาฆ่าแมลงในหน่อไม้ฝรั่งกันอย่างรุนแรง ก็ไม่สามารถทะเลาปัญหาได้ แถมยังถูกประเทศผู้นำเข้าหน่อไม้ฝรั่งจากไทย ยกเลิกคำสั่งซื้อ เพราะหน่อไม้ฝรั่งจากไทย มีสารตกค้างที่เป็นผลมาจากการใช้ยาปราบศัตรูพืชอยู่สูงเกินไป ด้วยเหตุนี้ ทางราชการโดยกรมส่งเสริมการเกษตร ทั้งที่ราชบุรีและสุพรรณบุรี จึงได้ทำโครงการผลิตกล้าพันธุ์หน่อไม้ฝรั่ง ด้วยการเพาะเลี้ยงเนื่องเยื่อ จากต้นพันธุ์ที่มีความต้านทานโรคและแมลงได้ดีแต่และให้ผลผลิตสูง แจกจ่ายให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกหน่อไม้ฝรั่งที่เข้าร่วมโครงการ โดยต้องเป็นผู้ปลูกหน่อไม้ฝรั่งที่มีปัญหาและเข้าโครงการ มารับการอบรมกับทางศูนย์เพาะพันธุ์หน่อไม้ฝรั่ง ของกรมส่งเสริมการเกษตรเสียก่อน จากนั้น จึงจะได้รับต้นพันธุ์ที่เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ รายละ 200 ต้น นำไปขยายเพื่อเอาไปทดแทนต้นพันธุ์ที่ไม่ต้านทานโรคและแมลงและให้ผลผลิตต่ำ ซึ่งโครงการนี้ได้ดำเนินไปเป็นอย่างดีและต่อเนื่อง จนทำให้เกษตรกรผู้ปลูกหน่อไม้ฝรั่ง สามารถกู้สถานการณ์ กลับมาปลูกหน่อไม้ฝรั่งจากการเพาะเลี้ยงเนื่องเยื่อ ที่สามารถต้านทานโรคและแมลงที่เคยมีปัญหาได้ดีจนกระทั่งปัจจุบันนี้ เราก็ได้แชมป์ในการปลูกหน่อไม้ฝรั่งกลับมาดังเดิม และสามารถผลิตหน่อไม้ฝรั่งปลอดสารพิษเพื่อการส่งออกไปยังต่างประเทศได้ดังเดิม
ก่อนอื่นต้องขอทำความเข้าใจเสียก่อนว่า การปลูกหน่อไม้ฝรั่งนั้นสามารถทำการปลูกได้จากจุดเริ่มต้น 3 ทางดังนี้
1. ปลูกจากเมล็ดพันธุ์ ซึ่งปกติแล้ว หน่อไม้ฝรั่งพอปลูกได้ประมาณหนึ่งปีขึ้นไป จะมีดอกแยกกัน โดยบางต้นจะมีดอกตัวผู้ ก็จะไม่สร้างเมล็ด บางต้นจะมีดอกตัวเมีย เมื่อได้รับการผสมพันธุ์แล้วก็จะสร้างผล สร้างเมล็ดเต็มไปหมดทั้งต้น แต่เนื่องจาก เป็นเมล็ดที่เป็นการผสมแบบเปิด หมายความว่า ดอกตัวเมียจะได้รับเกสรตัวผู้ทั่วไป ดังนั้น เมล็ดที่ได้ จะมีความแปรปรวนสูงมาก ส่วนใหญ่ประเทศไทย ใช้วิธีการปลูกโดยใช้เมล็ดเหล่านี้ ซึ่งต้นพันธุ์ที่ได้ ให้ผลผลิตไม่แน่นอน และการต่อต้านโรคและแมลงของแต่ละต้นแตกต่างกันไป แต่เนื่องจากเมล็ดพันธุ์หาง่าย มีราคาถูก เกษตรกรก็คิดกันง่ายๆเอาของถูกเข้าว่า แต่พอปลูกไปนานๆ ผลผลิตกลับต่ำและอาจจะไม่ทนต่อโรคและแมลง ดังนั้น กล้าพันธุ์จากเมล็ดที่ผสมแบบเปิด จึงไม่นิยมนำมาปลูกเป็นการค้า หรือปลูกไว้ทานให้เสียเวลาเปล่า

2. ปลูกจากพันธุ์ลูกผสมชั่วแรก F1 คือเมล็ดพันธุ์ที่ผ่านการคัดเลือกพ่อ แม่พันธุ์ตามลักษณะที่ต้องการแล้ว นำเอาทั้งพันธุ์พ่อ พันธุ์แม่มาผสมพันธุ์กัน จึงได้ลูกผสมชั่วแรกขึ้นมา เมล็ดลูกผสมชั่วแรก จึงเป็นเมล็ดพันธุ์ที่นิยมใช้กันทั่วโลก เป็นเป็นการเอาข้อดีทั้งหลายทั้งจากพ่อและแม่มารวมกันไว้ มักจะได้ผลผลิตสูงและคุณภาพของผลผลิตตรงตามที่ต้องการ แต่เมล็ดพันธุ์มีราคาแพงมาก ราคากก.ละหลายพันหรือเป็นหมื่นบาท บางพันธุ์ เช่น หน่อไม้ฝรั่งพันธุ์สีม่วง นับเมล็ดขายเป็นเมล็ดๆละ7-10 บาทขึ้นไป
3. เป็นการคัดเลือก นำเอาต้นพันธุ์ที่ดี ผลผลิตสูง คุณภาพของหน่อตรงตามที่ผู้บริโภคหรือตลาดต้องการ ที่ทำการคัดเลือกลักษณะเด่นต่างๆเหล่านี้ จากแปลงเพาะปลูกจริง แล้วนำเอามาเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อในห้องปฏิบัติการ จะใช้เวลาอย่างน้อย 2 ปี กว่าเนื้อเยื่อจะเจริญออกมาทั้งยอด และราก(ครั้งแรก จะเพาะเลี้ยงส่วนที่เป็นต้น เป็นยอดที่เรียกว่า แคลลัส(Callus) เสียก่อน ก็ใช้เวลาเป็นปี จากนั้น จึงจะใช้สารเร่งให้เกิดรากอีกประมาณหนึ่งปี จึงพร้อมที่จะเอาไปขยายเป็นกล้าอนุบาลได้ และต้องใช้เวลาอนุบาลอีกอย่างน้อย 3-5 เดือน จึงจะสามรถนำเอาไปปลูกเป็นการค้าได้ ข้อดีของการเพาะเลี้ยงต้นกล้าหน่อไม้ฝรั่งด้วยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อก็คือ ได้กล้าพันธุ์ที่บริสุทธิ์ ปลอดโรค ตรงตามลักษณะพันธุ์จากต้นแม่ แล้วสามารถขยายพันธุ์ในห้องปฏิบัติการได้ในปริมาณที่มากๆ เป็นล้านๆต้น โดยไม่จำเป็นต้องไปเริ่มจากเมล็ดอีกเลย

4. นำพันธุ์จากทั้งสามวิธี เอาแบ่งเหง้าขยายพันธุ์ วิธีนี้สะดวก ง่าย แม้จะใช้เวลาบ้าง แต่จุดสำคัญอยู่ที่ต้นตอของพันธุ์ ยกตัวอย่าง กล้าพันธุ์หน่อไม้ฝรั่ง ของทางสถาบันอานนท์ไบโอเทค เป็นกล้าพันธุ์เริ่มต้น ที่ได้จากศูนย์เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ จากสุพรรณบุรี แล้วนำมาเพาะเลี้ยงในสถานที่ควบคุม เพื่อการขยายพันธุ์ จำหน่ายจ่ายแจกให้แก่ผู้สนใจทั่วไป โดยปกติ ต้นพันธุ์ที่ได้มาจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อต้นเล็กๆ จำหน่ายกันต้นละ 24-32 บาท โดยจะต้องนำมาเพาะให้มันโตกว่าจะนำไปลงแปลงได้ ต้องใช้เวลาอีกประมาณ 4-6 เดือน แต่สำหรับของสถาบันอานนท์ไบโอเทคจะจัดจำหน่ายเป็นกรณีพิเศษแก่สมาชิกผู้ผ่านการอบรม หรือเป็นสมาชิกเฟสหรือเวปในราคา 25 บาทเท่านั้น(เป็นต้นที่สามารถส่งทางขนส่งหรือไปรษณีย์ได้ เพราะเป็นต้นที่ถูกถอนและล้างรากแล้ว เก็บได้ในที่ร่ม อากาศถ่ายเทได้ดีได้หลายสับปดาห์หรือเป็นเดือน) หากซื้อเป็นเหง้าพร้อมปลูก บางบริษัท อาจจะขายสูงกว่าเหง้าละ 100 บาท หากเป็นสีม่วงเหง้าละ 220 บาท ดังนั้น ราคาจากสถาบันอานนท์ไบโอเทค จึงเป็นราคาพิเศษสำหรับสมาชิกเท่านั้น โดยผู้สนใจ จะต้องสั่งจองได้ที่ 029083308, 0860830202 line : mushroom10 (กรุณาอย่าสั่งจองมาทางผมครับ)
สำหรับวิธีการปลูกหน่อไม้ฝรั่ง การดูแล รักษา การเก็บเกี่ยว การควบคุมศัตรูหน่อไม้ฝรั่ง และการเพิ่มผลผลิตหน่อไม้ฝรั่งอย่างไร โปรดติดตามในเวปนี้ในตอนต่อไปครับ

นี่คือเหง้าหน่อไม้ฝรั่งของอานนท์ไบโอเทค ที่เตรียมไว้บริการสมาชิก ที่จะมาเข้ารับการอบรมเห็ดเศรษฐกิจในวันเสาร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ 2560 และผู้ที่จะมาอบรมเห็ดเป็นยาในวันเสาร์ที่ 11 มีนาคม 2560 โดยจะได้รับสิทธิ์การซื้อเป็นกรณีพิเศษ