“เห็ดกระดุมบราซิล” พิชิตโรคร้าย

บทความโดย ดร.อานนท์ เอื้อตระกูล

ในอดีตที่ไต้หวัน ญี่ปุ่น เกาหลี จีนหรือแม้กระทั่งอเมริกาและยุโรป ที่มุ่งหวังทำการเพาะเห็ดที่ตลาดต้องการในปริมาณมาก เช่น เห็ดกระดุม เห็ดหอม เป็นต้น ในส่วนของเห็ดกระดุม(Button mushroom = Agaricus bisporus) นั้นไต้หวันซึ่งเป็นเกาะเล็กๆ ใหญ่กว่าจังหวัดเชียงใหม่ไม่เท่าไหร่ แต่สามารถเพาะและผลิตเห็ดชนิดนี้ เพื่อเป็นสินค้าส่งออกมาที่สุดในโลก ในปี 2514-2525 ส่วนเห็ดหอม (Shiitake or Oak mushroom = Lentinus edodes)นั้น ญี่ปุ่นได้ทุ่มเททั้งงานวิจัยและงานส่งเสริมการเพาะเห็ดหอมกันอย่างยิ่งใหญ่และจริงจังหลังจากแพ้สงครามโลก จนกระทั่งมีเกษตรกรผู้เพาะเห็ดหอมมากถึง 300,000 ครอบครัว มีสมาคมเห็ดหอม ที่มีสมาชิกมากที่สุดในบรรดาสมาคมที่เกี่ยวกับการเกษตร สามารถเพาะเห็ดหอมได้มากถึงเกือบ 300,000 ตันต่อปี มากที่สุดในโลกตั้งแต่ปี 2514 เป็นต้นมาจนถึงปี 2542 ก่อนที่ประเทศจีนมาแซงทีหลัง แต่จู่ๆมาไม่นานมานี้ ประเทศที่เคยเพาะเห็ดต่างๆที่เคยเป็นแนวหน้าระดับโลก กลับลดปริมาณการผลิตลง บางประเทศเช่น ประเทศไต้หวันตัวเลขการส่งออกเห็ดกระดุม และประเทศญี่ปุ่นที่เคยส่งออกเห็ดหอมแทบจะไม่ปรากฏให้เห็นเด่นชัด หรือแทบจะไม่มีการผลิตเพื่อการส่งออกอีกเลย

สาเหตุสำคัญไม่ได้อยู่ที่ปัญหาแรงงานหรือต้นทุนการผลิตสูงเกินไปเท่านั้น แต่เหตุผลกลับอยู่ที่นักเพาะเห็ดของประเทศเหล่านี้ หันไปสนใจเพาะเห็ดที่ทำให้เกิดรายได้สูงกว่าและตลาดมีความจำเป็นจะต้องใช้ คือ เห็ดที่สามารถเพาะและผลิตเป็นยาได้ หลังจากผลของการวิจัยในสถาบันที่เชื่อถือได้จากหลายประเทศทั้งญี่ปุ่น จีน อเมริกา อิตาลี อังกฤษต่างค้นพบและยืนยันว่า มีเห็ดหลายชนิด นอกจากจะมีคุณสมบัติทางโภชนาการสูงแล้ว ยังมีคุณสมบัติพิเศษทางยาป้องกันรักษาโรคต่างๆของมนุษย์ได้เป็นอย่างดีอีกหลายชนิด เช่น เห็ดหลินจือ เห็ดไมตาเกะ เห็ดถั่งเฉ่า เห็ดแพนหางนกยูง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อไม่นานมานี้ ได้สรุปผลการศึกษาทดลองเปรียบเทียบพบว่า สุดยอดของเห็ดที่มีคุณสมบัติทางยาที่รักษาโรคร้ายของมนุษย์ คือ เห็ดกระดุมบราซิลหรือเห็ดโคนบราซิล(agaricus blazei Murrill) ที่มีสารประกอบบางชนิดของน้ำตาล(polysaccharides)  มีคุณสมบัติพิเศษในการกระตุ้น เหนี่ยวนำการสร้างภูมิต้านทานของร่างกายให้สูงและมีประสิทธิภาพเป็นอย่างดี โดยภูมิต้านทานที่สูงขึ้นและมีประสิทธิภาพนี้ สามารถไปยับยั้งและรักษาโรคร้ายแรงต่างๆได้หลายชนิดอย่างได้ผลและไม่มีผลข้างเคียง ที่สำคัญที่สุดได้แก่ โรคมะเร็งเนื้อร้ายหลายชนิด โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง อันได้แก่ เอดส์ โรคภูมิแพ้ โรคเกี่ยวกับการสร้างน้ำย่อยหรือเอ็นไซม์บกพร่อง เช่น เบาหวาน และโรคเกี่ยวข้องกับระบบเลือด อันได้แก่ โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง โรคตับ โรคไวรัสบีในตับ

ผลของการค้นพบคุณสมบัติมหัศจรรย์ของเห็ดกระดุมบราซิล ทำให้รัฐบาลของบางประเทศ เช่น ญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลี ที่ล้วนแล้วแต่เป็นประเทศที่เจริญทางวิชาการทั้งเกี่ยวกับการเพาะเห็ด และการศึกษานำเอาเห็ดไปเป็นยา ต่างก็ซุ่มเงียบโดยหันไปทำการเพาะเห็ดชนิดนี้ เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตเป็นยารักษาโรคร้ายที่แทบจะไม่มีโอกาสรักษาได้ด้วยยาแผนปัจจุบันเพียงอย่างเดียว เช่น โรคมะเร็ง เอดส์ เบาหวานและโรคหัวใจ เป็นต้น ประเทศญี่ปุ่นถือเป็นประเทศที่ครองอันดับหนึ่งในการผลิตเห็ดชนิดนี้ โดยผลิตได้ปีละมากกว่า 30,000 ตัน ด้วยการสนับสนุนของรัฐบาล ที่ให้นักธุรกิจและเกษตรกรไปทำการเพาะเห็ดชนิดนี้ ในประเทศที่มีเห็ดชนิดนี้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ คือ ที่ประเทศบราซิล และประเทศใกล้เคียงที่มีอากาศเช่นเดียวกับประเทศบราซิล เช่น ประเทศปารากัว สุรินัม เพื่อทำการเพาะและผลิตเห็ดชนิดนี้ส่งไปเป็นวัตถุดิบ เพื่อใช้ในการผลิตยาในประเทศญี่ปุ่นแล้วส่งไปขายในรูปของยารักษาโรคที่มีราคาค่อนข้างแพงมาก

ผมเองแม้ว่าจะได้รับเกียรติจากองค์การสหประชาชาติให้ไปเป็นผู้เชี่ยวชาญเห็ดให้แก่หลายประเทศ ทั้งในเอเชีย แปซิฟิคและแอฟริกา ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2524 – 2548 เริ่มตั้งแต่ประเทศภูฏาน อินเดีย เนปาล ศรีลังกา ฟิลิปปินส์ และอีกหลายประเทศในทวีปแอฟริกา ได้รับรู้ผลการวิจัยต่างๆเกี่ยวกับเห็ดชนิดนี้มาโดยตลอด แต่ก็ไม่ได้ทุ่มเทหรือให้ความสนใจเป็นพิเศษ เพียงแต่จำได้ว่า เมื่อครั้งที่ไปประจำอยู่ที่ประเทศต่างๆในแอฟริกาตะวันตก เช่น ประเทศกานา โตโก เบนิน แกมเบีย ไลบีเรียและเซียราลีโอนระหว่างปี พ.ศ. 2532-2537 ได้พบเห็นเห็ดกระดุมบราซิลเกิดขึ้นทั่วไปในบริเวณนี้ โดยชาวพื้นเมืองละแวกนี้นิยมเอาไปทำเป็นอาหารหลายรูปแบบ ผมก็ได้เพียงแต่นำเอาเห็ดต่างๆที่สำรวจเจอเอามาเพาะเลี้ยงเส้นใยเห็ดไว้เท่านั้น จนกระทั่งเมื่อได้รับเชิญให้ไปเป็นที่ปรึกษาโครงการเห็ด ของประเทศฝรั่งเศส ที่ประเทศกียานา ที่เป็นประเทศอาณานิคมแห่งสุดท้ายของฝรั่งเศสในละตินอเมริกา ซึ่งอยู่ติดกับประเทศบราซิลและสุรินัม เป็นประเทศที่ใช้เป็นฐานส่งดาวเทียม “ไทยคม” ของไทยในหลายปีที่ผ่านมา ประกอบกับผมได้รับคำสั่งซื้อเชื้อเห็ดบริสุทธิ์ที่เพาะเลี้ยงในเมล็ดธัญพืชเพื่อนำไปผลิตเป็นยาจากหลายประเทศ ผมจึงได้เริ่มลงมือทำการผลิตเชื้อเห็ดดังกล่าวเพื่อการส่งออกแต่เพียงอย่างเดียว จนกระทั่งเมื่อเร็วๆนี้ มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นในสมาชิกคนหนึ่งที่เป็นญาติสนิท เกิดป่วยกะทันหันปวดท้องอย่างรุนแรง จึงรีบนำส่งโรงพยาบาลเอกชนที่ทันสมัย ทำการตรวจอย่างละเอียดพบว่า ผู้ป่วยเป็นโรคมะเร็ง โดยเกิดอาการบวมขึ้นมาในช่องท้องอย่างรวดเร็ว

ทางโรงพยาบาลนี้ได้แนะนำให้ส่งผู้ป่วยเป็นการด่วนไปยังโรงพยาบาลที่มีแพทย์ที่เชี่ยวชาญเฉพาะ และมีเครื่องไม้เครื่องมือที่ดีกว่า ผลของการตรวจผู้ป่วยก็ออกมายืนยันทำนองเดียวกันว่าผู้ป่วยเป็นมะเร็ง(Ascites cancer)ที่ไม่สามารถรักษาได้ เพียงแต่คณะแพทย์จะบรรเทาความเจ็บปวดจากอาการท้องบวมด้วยการเจาะเอาน้ำออกจากท้องครั้งละหลายลิตร แต่ด้วยสภาพที่ผู้ป่วยยังแข็งแรงและมีกำลังใจดีอยู่ คณะแพทย์จึงประชุมกันทำการผ่าตัดใหญ่ เพื่อค้นหาจุดกำเนิดหรือต้นเหตุของมะเร็ง ปรากฏว่า หาไม่เจอทั้งการสแกน การเอ็กซ์เรย์และการผ่าตัด ผลสุดท้าย คณะแพทย์จึงทำความเข้าใจกับบรรดาญาติที่ใจจรดใจจ่อรอลุ้นด้วยความหวังที่จะยื้อชีวิตผู้ป่วยให้อยู่ได้นานที่สุดเท่าที่ทำได้ โดยทางแพทย์เจ้าของไข้ขอให้บรรดาญาติทั้งหลายยอมรับความจริงและสภาพ ดูจากสภาพภายนอก ผู้ป่วยยังแข็งแรง สามารถเดินและรับประทานอาหารได้อย่างปกติ แพทย์จึงแนะนำว่า ในช่วงที่ผู้ป่วยยังแข็งแรงอยู่และรักษาด้วยการฉีดคีโม สามารถกลับมาพักฟื้นที่บ้านได้ เพื่อผู้ป่วยจะได้ไปทำอะไรก็ได้ตามที่ผู้ป่วยต้องการ
ผมเองในฐานะเป็นหนึ่งในสมาชิกเครือญาติและเคยมีประสบการณ์ที่เห็นญาติต้องทนทุกข์ทรมานจากโรคเบาหวาน ที่บางรายเกิดบาดแผลเรื้อรัง ต้องตัดแขนตัดขาทิ้ง จากนั้นไม่นานก็เสียชีวิต เหตุการณ์เช่นนี้ ยากยิ่งที่จะบรรยายความรู้สึกห่วงใย อาลัยอาวรณ์ และทุกคนในเครือญาติก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกันว่า หากมีวิธีใดที่สามารถยื้อชีวิตญาติผู้ป่วยเราได้ แม้ว่าจะต้องถูกตัดเอาอวัยวะส่วนไหนบางส่วนไปใส่เสริมให้แทนได้ หรือต้องใช้เงินทองมากน้อยเพียงใด ก็ยินดีจะทำอย่างสุดความสามารถ

ในส่วนของผมเอง ได้กลับมาทบทวนว่า ตลอดชีวิตก็ได้อุทิศให้แก่เรื่องเห็ดมาโดยตลอด และยังทำการเพาะเห็ดกระดุมบราซิลที่ต่างประเทศสั่งเอาไปทำเป็นยารักษาโรคที่สำคัญของมนุษย์ รวมทั้งโรคมะเร็งที่ญาติใกล้ชิดกำลังเจอปัญหาอยู่ จึงปรึกษาหารือกันในหมู่ญาติว่า ในเมื่อมีถึงขั้นนี้แล้วการรักษาผู้ป่วยตามวิถีทางของแพทย์แผนปัจจุบันหมดหวังแล้ว เพียงแต่ต้องทำการฉีดคีโม(Chemotherapeutic treatment) เพื่อยืดอายุเท่านั้น นอกจากนี้ ยังได้เห็นสภาพผู้ป่วยรายอื่นที่ผ่านการฉีดคีโม ต้องพบกับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสจากผลข้างเคียงของการใช้ยา สุดท้ายก็อยู่ได้อีกไม่นานก็จะเสียชีวิตไปอย่างน่าเวทนายิ่ง ผมได้รับฉันทานุมัติจากบรรดาเครือญาติใกล้ชิด ให้นำเอาเห็ดกระดุมบราซิลทั้งดอกเห็ดและเชื้อเห็ด นำมาทำให้แห้งในอุณหภูมิต่ำ(Cooled dry) ผสมกับเห็ดอื่นๆที่มีคุณสมบัติทางยาเสริมกัน รวมทั้งสมุนไพรบางชนิด นำมาบดใส่แคปซูลขนาด 500 มิลลิกรัม ให้รับประทานครั้งละ 3-5 แคปซูลก่อนอาหาร 1 ชั่วโมง 3 เวลาต่อวัน หรือประมาณ 12-15 แคปซูล คิดเป็นเนื้อเห็ดแห้ง 6-8 กรัม หรือคิดเป็นน้ำหนักเห็ดสด 60-80 กรัมเท่ากับ 1-2 ดอกเท่านั้น พบว่า หลังจากผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาลแล้ว อาการบวมไม่เกิดขึ้น ไม่จำเป็นต้องเจาะดูดน้ำออกจากท้องอีกต่อไป (ยังคงเป็นผู้ป่วยที่แสนดีของแพทย์ ด้วยการรับประทานยาที่แพทย์ให้ไปอย่างสม่ำเสมอตลอดด้วย) ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น ทำงานได้ตามปกติ ที่สำคัญทุกครั้งหลังจากถูกฉีดคีโมไปแล้ว จะไม่มีผลข้างเคียงอย่างรุนแรงเกิดขึ้นเลย ก่อนการฉีดคีโม จะต้องนอนพักที่โรงพยาบาลล่วงหน้า 1 คืน มีการตรวจรายละเอียดต่างๆ รวมทั้งเกล็ดเม็ดเลือดขาว ที่เป็นตัวบ่งบอกว่าสถานะของผู้ป่วยว่าเลวร้ายเพียงใด สำหรับญาติของผมรายนี้ ก่อนที่จะตัดสินใจให้รับประทานเห็ดกระดุมบราซิลผสมกับเห็ดอื่นๆที่มีคุณสมบัติทางยาเสริมกัน รวมทั้งสมุนไพรบางชนิดเข้าไปนั้น ค่าของเกล็ดเม็ดเลือดขาวต่ำมากอยู่ระดับประมาณ 2,000

แต่หลังจากให้รับประทานเห็ดกระดุมบราซิลผสมกับเห็ดอื่นๆที่มีคุณสมบัติทางยาเสริมกัน รวมทั้งสมุนไพรบางชนิดเข้าๆไปแล้วติดต่อกันประมาณ 10 วัน ก่อนที่จะทำการฉีดคีโมครั้งต่อไป เจ้าหน้าที่ที่ทำการตรวจสอบเม็ดเลือดถึงกับตกตะลึงกับผลของเกล็ดเลือดขาวสูงขึ้นอย่างผิดปกติ โดยเป็นการเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดแบบไม่น่าเชื่อ คือ อยู่ในระดับ 12.000 ที่สำคัญของหลังจากการฉีดคีโมแต่ละครั้ง ผู้ป่วยไม่มีอาการแพ้ยาหรือผลข้างเคียงจากยาอย่างรุนแรงเหมือนผู้ป่วยรายอื่นๆ สามารถรับประทานอาหารได้มากขึ้น ผมไม่ร่วง นอนหลับได้สบายเหมือนคนปกติ

หลังจากได้รับประสบการณ์ต่างๆดังกล่าว ผมจึงได้ขออนุญาตจากบริษัทต่างประเทศที่สั่งซื้อเชื้อเห็ดกระดุมบราซิลและเห็ดที่ใช้เป็นยาอื่นๆ โดยขออนุญาตใช้เชื้อเห็ดและดอกเห็ดบางส่วนทำการผลิตเพื่อเป็นอาหารเสริมให้แก่ผู้ป่วยโรคร้ายต่างๆที่เป็นคนไทยไม่ว่าจะเป็น ผู้ป่วยมะเร็ง เอดส์ เบาหวาน ภูมิแพ้ โรคหัวใจ พบว่า ผู้ที่ได้รับผลิตภัณฑ์จากเห็ดกระดุมบราซิลผสมกับเห็ดอื่นๆที่มีคุณสมบัติทางยาเสริมกัน รวมทั้งสมุนไพรบางชนิดไปรับประทานติดต่อกันอย่างน้อย 10 วันล้วนแล้วแต่ได้ผลดี ทำให้โรคร้ายต่างๆมีอาการดีขึ้น รวมทั้งผู้ที่ป่วยเป็นเอดส์ขั้นสุดท้ายกลับกลายเป็นผู้ที่มีความหวังมากขึ้น ด้วยผลและความเชื่อมั่นดังกล่าวนี้ ผมจึงใคร่ขอรวบรวมเอาผลการวิจัยเกี่ยวกับเห็ดกระดุมบราซิล ที่ใช้เป็นยารักษาโรคร้ายต่างๆของมนุษย์ จากสถาบันต่างๆที่น่าเชื่อถือมาสรุปพอสังเขปเป็นวิทยาทาน ดังนี้