คำถามจากผู้ป่วยมะเร็งเต้านม

Wed Nov 17, 2010 2:29 pm 

เนื่องจากดิฉันได้เข้าไปหาข้อมูลเกี่ยวกับเห็ดหลินจือ เห็ดกับมะเร็ง จึงได้บังเอิญพบข้อมูลเรื่องเห็ดเป็นยา เห็ดกระดุมบราซิลในเวบไซต์ของท่าน ซึ่งอ่านแล้วน่าสนใจและมีประโยชน์มาก ซึ่งถือว่าเป็นความรู้ใหม่สำหรับดิฉันว่า นอกจากเห็ดหลินจือแล้ว ยังมีเห็ดต่างๆ อีกหลายชนิดที่นำมาเป็นยาได้ ดังนั้น ดิฉันจึงใคร่ขอปรึกษาวิธีการกินเห็ดเป็นยาดังนี้

1. คุณแม่ของดิฉันมีอายุย่าง 91 ปี เดิมเป็นโรคความดันโลหิตสูง หัวใจโตเล็กน้อย และมีปัญหาโรคกระเพาะอาหาร เมื่อพฤศจิกายน 2552 พบว่าเป็นมะเร็งเต้านมข้างซ้าย ด้านซ้ายตรงจุด 2 นาฬิกา ขนาดประมาณ 2 ซม.(เป็นปริมาตร แต่จำไม่ได้ค่ะ) เป็นมะเร็งขั้นที่ 1-2 หมอจะให้ผ่าตัด แต่ลูกเห็นว่าแม่อายุมากแล้ว จึงไม่อยากให้ผ่าตัด (ถ้าหากผ่าตัดแล้ว ยังจะต้องฉายแสง และทำคีโม) ไม่อยากให้แม่ต้องทรมาน เพราะเกรงว่าแม่จะฟื้นตัวลำบาก (หรืออาจจะไม่ฟื้นกลับมาก็ได้) และไม่สามารถใช้ชีวิตเฉกเช่นปัจจุบันได้ (ขณะนี้ยังช่วยตัวเองได้เกือบทุกอย่าง เดินเหินได้ แต่ไม่ไกลเนื่องจากมีปัญหาเรื่องเข่า) และจากการตรวจชิ้นเนื้อนั้น ชิ้นเนื้อไวต่อฮอร์โมน receptor จึงขอกินยาต้านฮอร์โมนแทน(แต่ยาต้านฮอร์โมนจะมีผลข้างเคียง ที่อาจทำให้เป็นเนื้องอกหรือมะเร็งที่มดลูก รังไข่อีก) ในขณะเดียวกันดิฉันได้ศึกษาแนวธรรมชาติบำบัด และได้ปรึกษาแพทย์ธรรมชาติบำบัด ซึ่งแนะนำให้แม่กินวิตามินเสริมต่างๆ ซึ่งเป็น antioxidant เช่น BIO C, Selenium, Vitamin E, Beta carotene, Coenzyme Q10 รวมทั้งให้กิน Multi B, Folate, Omega 3 (เนื่องจาก HDL ต่ำอยู่ที่ 33) และเห็ดหลินจือแคปซูล และผงสปอร์ (ได้รับความอนุเคราะห์จากเจ้านายเป็นครั้งคราว)

ส่วนเรื่องอาหารนั้น งดการกินทั้งโปรตีนจากพืชและสัตว์ (รวมทั้งถั่ว งา เต้าหู้) งดไขมัน ห้ามกินเค็ม หวาน เพราะอาหารเหล่านี้เป็นอาหารที่เลี้ยงมะเร็ง กินได้เฉพาะผักผัดกับน้ำซุปโพแตสเซียม (ประกอบด้วยมะเขือเทศ มันฝรั่ง กะหล่ำปลี แครอท หัวหอมใหญ่) กินน้ำคั้นจากผักและผลไม้ ซึ่งการกินลักษณะนี้ค่อนข้างกินยาก เนื่องจากแม่เป็นคนจีนที่มาจากจีนแผ่นดินใหญ่ และอยู่ในสังคมคนจีน จึงไม่คุ้นกับอาหารไทย เช่น แกง น้ำพริก ผักสด ดังนั้น แม่จึงกินข้าวกล้องกับผักผัดกับน้ำซุปทุกมื้อ แต่ถ้าแม่บ่นกินไม่ไหวแล้ว ก็จะอนุโลมให้เต้าหู้ 1 ชิ้น หรือปลา 2-3 ชิ้น (ขนาดเท่า 2 นิ้วมือ)

หลังจากรักษาทั้งแผนปัจจุบันและธรรมชาติบำบัด(ไม่ได้บอกหมอแผนปัจจุบัน เกรงว่าหมอจะต่อว่า และไม่ยอมรักษาให้) ได้ประมาณ 5 เดือน หมอให้ทำ Ultrasound ก้อนเนื้อนั้น ปรากฎว่าลดลงเล็กน้อยประมาณ ครึ่งเซนติเมตร แต่หมอไม่ให้ความสำคัญ ถือว่าลดลงน้อยมาก และยังยืนยันจะให้ผ่าตัดอีก และไม่ทราบว่า ผลจากการกินยาต้านฮอร์โมน และการกินอาหารแบบนี้ ทำให้ความดันของแม่ต่ำกว่าก่อนที่เป็นมะเร็งหรือไม่ โดยมีค่าเฉลี่ยที่ 110/50 (บางที 98/44) หัวใจเต้นระหว่าง 45-52 ครั้ง/นาที

จึงอยากเรียนถามอาจารย์ว่า คุณแม่จะกินเห็ดเป็นยาได้หรือไม่ และจะต้องกินขนาดเท่าไหร่ ซึ่งปกติกินวิตามิน และเห็ดหลินจืออยู่แล้ว จะต้องลดปริมาณวิตามิน หรือเห็ดหลินจือที่กินเป็นประจำหรือไม่ (ปกติกินเห็ดหลินจือวันละ 4 เม็ด เช้า 2 เย็น 2) และจะมีผลข้างเคียงหรือไม่ เช่น อาการร้อนใน มึน/เวียนหัว เป็นต้น

2. สำหรับตัวดิฉัน ดิฉันได้รับการผ่าตัดเนื้องอกที่มดลูก จึงตัดทั้งมดลูกและรังไข่ออกทั้งหมดตั้งแต่ปลายปี 2551 ปัจจุบันยังคงรู้สึกว่าแผลที่ผ่าตัดมันไม่เหมือนเดิม มีอาการเซียว หรือเจ็บแป็บๆ เป็นครั้งคราว และเนื่องจากต้องดูแลแม่ที่ชรา และป่วย อีกทั้งต้องทำงานหาเลี้ยงชีพด้วย จึงทำให้เกิดความเครียด พักผ่อนไม่พอ เมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้วเคยเป็นภูมิแพ้(ลมพิษ) รักษาอยู่หลายปี โดยการฉีดภูมิเข้าไป แต่ปัจจุบันหายแล้ว แต่เป็นภูมิแพ้อากาศแทน มีอาการคันตา (เกาตาจนเส้นเลือดฝอยตาแตก) จาม น้ำมูกไหลทุกวัน บางวันจามและคันตาในขณะที่เราหลับอยู่ บางวันจาม/น้ำมูกไหลตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่นอน จนถึงช่วงบ่ายๆ ถึงจะดีขึ้น มีความรู้สึกว่าทรมานมาก จึงอยากเรียนถามอาจารย์ว่า ถ้าดิฉันจะทานเห็ดเป็นยาควรทานในปริมาณเท่าไหร่ค่ะ

คำแนะนำโดย ดร.อานนท์ เอื้อตระกูล

ผมมีโรคประจำตัวที่หมอรักษาให้หายขาดไม่ได้ 2 อย่าง คือ โรคเบาหวานเรื้อรัง และโรคภูมิแพ้อากาศ ที่แพ้ทุกอย่างที่มีอยู่ในอากาศบ้านเรา สำหรับเรื่องเบาหวานนั้น มันเป็นสิงที่ติดหูติดตาผมไปชั่วชีวิต ที่ผมเห็ดญาติทางคุณแม่ของผมเป็นเบาหวานกันแทบทุกราย รวมทั้งคุณแม่ผมด้วย ก่อนที่ญาติผมจะเสียชีวิต มีหลายราย เกิดแผลเน่าเปื่อยจำเป็นจะต้องตัดเอาอวัยวะส่วนนั้นทิ้งไป เช่น แขน ขา นิ้ว มันเป็นภาพที่เสียวสยองจริงๆ ผมเองก็มีโอกาสที่จะโดนเช่นนั้นเหมือนกัน เพราะทั้งน้ำตาลในเลือดและไตรกลีเซอไรด์ผมสูงมาก นอกจากผมเป็นโรคเบาหวานแล้ว ผมยังเป็นโรคภูมิแพ้อย่างรุนแรง โดยรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลตำรวจสมัยนั้น คือ พล.ต.ต. นพ. ชูชาติ อุตโรทัย ที่มาอบรมเห็ดกับผม และตอนหลังเป็นคนที่ช่วยวิ่งเต้นทางตำรวจสันติบาล ให้ผมตั้งสมาคมนักวิจัยและเพาะเห็ดแห่งประเทศไทยขึ้นสำเร็จ

เมื่อปลายปี 2521 ท่านได้พาผมไปตรวจร่างกายว่า ทำไมผมจึงป่วยเป็นโรคภูมิแพ้แบบเรื้อรัง ปรากฎว่า เมื่อได้ไปตรวจสอบภาวภูมิแพ้ในร่างกายของผม พบว่า ผมแพ้สิ่งปฎิกูลหรือมลภาวะทุกอย่างในอากาศ ไม่มีทางที่จะรักษาให้หายขาดได้ เช่นเดียวกับโรคเบาหวาน ดังนั้น ตลอดทั้งชีวิตของผม ผมจะต้องทานยาแอนตี้ฮีสตามิน ทุกวัน และฉีดฮอร์โมนอินซูลินเข้าไป เพื่อจะได้ไปเผาผลาญน้ำตาลในเส้นเลือดตลอดเวลา ผมก็ได้ปฎิบัติตามที่คุณหมอแนะนำอย่างเคร่งครัด จนกระทั่ง ผมรู้ตัวเองว่า หากผมยังขืนปฎิบัติตัวดังกล่าวเช่นนั้น ผมคงอายุไม่เกิน 40 ปีแน่ๆ เพราะการทานยา ไม่ว่าจะเป็นยาแก้ภูมิแพ้ แม้ว่าจะรู้สึกไม่มีน้ำมูกไหลในตอนเช้า แต่จะเกิดอาการซึม ง่วงนอน ไม่อยากจะทำอะไร หมดอาลัยตายอยากในชีวิต เห็นอะไรก็ขวางหูขวางตาไปหมด

พอครั้นมาดูเรื่องเบาหวาน อาหารอะไรก็ทานไม่ได้ ทานได้เฉพาะอาหารบางอย่างที่ไม่ถูกปากเลย ชีวิตดูเหมือนมันรันทดเหลือเกิน ผมจึงเริ่มค้นคว้าด้วยตัวเอง จึงพบว่า อ๋อ ที่ผมและญาติผม รวมทั้งคนอื่นที่เป็นเบาหวาน ก็เพราะ การสร้างหรือหลั่งเอ็นไซม์ของผมจากตับอ่อน ผิดปกติ มีปริมาณที่น้อย ไม่เพียงพอแก่การเผาผลาญอาหารบางอย่างในร่างกาย จึงทำให้ตับอ่อนของผม ซึ่งโดยปกติธรรมดา มนุษย์ทั่วไป ตับอ่อน จะยาวเพียง 14 ซม. ของผมถูกใช้งานมากเกินไป มันยาวถึง 16 ซม. ส่วนโรคภูมิแพ้ของผมนั้น มันก็เกิดจากสาเหตุเดียวกัน ที่ร่างกายผมสร้างภูมิคุ้มกันไม่ดีพอ และมีการสร้างภูมิบางอย่างที่ไวต่อสิ่งแปลกปลอมบางอย่าง

ในเมื่อผมรู้สาเหตุเช่นนี้แล้ว ผมจึงหยุดการรักษาแนวทางแพทย์แผนปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง ที่เขาเรียกว่า หักดิบเลย แล้ว ผมก็ไปหาแนวทางรักษาทางอื่นๆ เช่น การระมัดระวังเรื่องอาหาร รักษาโดยใช้สมุนไพร รักษาด้วยยาจีน พอไปอยู่ที่แอฟริกา ก็ไปรักษากับหมอพื้นเมือง รวมทั้งทานสมุนไพรของทางโน่นด้วย แต่อาการก็ทรงๆทรุดๆ ผมสุดท้าย จากการที่ได้เดินทางไปเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องเห็ดในหลายประเทศ พอมีประสบการณ์และย้ายไปหลายๆประเทศ ก็เริ่มมีคนรู้จัก ตำแหน่งหน้าที่ก็สูงขึ้น จนได้เป็นผู้เชี่ยวชาญอาวุโส เกี่ยวกับเห็ด ขององค์การสหประชาชาติ และก็ได้รับเชิญให้ไปบรรยาย หรือเข้าร่วมสัมมนาเกี่ยวกับเห็ดเป็นยาอยู่บ่อยครั้ง ได้มีการแลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์จากผู้รู้ทั้งหลายจากทั่วโลก รวมทั้งผู้ที่มีปัญหาที่เป็นโรคเช่นเดียวกับผม ก็เลยทำให้ผมรู้ว่า สิ่งที่มันเป็นสาเหตุของโรคในตัวผมนั้น ไม่ใช่ว่า จะรักษาให้หายขาดไม่ได้ หากเราเข้าใจต้นสายปลายเหตุของโรคว่า มันเกิดจากการสร้างเอ็นไซม์ไม่พอ และการสร้างภูมิต้านทานในร่างกายให้สมดุลย์ไม่ดี มันย่อมมีผลทำให้เกิดโรคได้

ผมจึงหันมาสนใจเรื่องของเอ็นไซม์ครับ และผมก็พบว่า มีจุลินทรีย์มากมายหลายร้อยชนิด สามารถสร้างเอ็นไซม์ทดแทนเอ็นไซม์ที่ร่างกายผมขาดได้ นับแสนนับล้านเท่าของร่างกายผมสร้าง ยกตัวอย่างง่ายๆ จุลินทรีย์ที่เปลี่ยนแป้งให้เป็นน้ำตาล อันได้แก่พวกเชื้อ Aspergillus niger ที่เราใช้ทำข้าวหมากนั้น มันสามารถสร้างเอ็นไซม์ย่อยแป้ง ย่อยน้ำตาลได้มากกว่าร่างกายผมสร้างภายในเวลาไม่กี่นาที มีสูงนับหมื่นนับแสนเท่า
เมื่อเทียบกับร่างกายผมสร้าง ผมก็ลองทานข้าวหมาก ที่เขาหมักไว้พียง 24-36 ชม.ดู ผมทานทุกวัน ก็ปรากฎว่า น้ำตาลในเส้นเลือดผมเหลือน้อย ดีขึ้น ซึ่งมันเป็นศัญญานที่ดีมาก

ในการรักษาโรคของผม ผมจึงได้ศึกษา หาจุลินทรีย์ที่มันสามารถสร้างเอ็นไซม์ที่ผมขาด ผมจึงเริ่มหาแหล่งเอ็นไซม์ที่มีประโยชน์ทานเข้าไป เช่น จากนมเปรี้ยว จากสัปรด จากมะละกอ จากแหนม ปรากฎว่าได้ผลครับ อาการโรคเบาหวานผมดีขึ้นมาก จนกระทั่งผมได้พบว่า มีจุลินทรีย์ ที่อาศัยอยู่ที่รากโกงกาง ที่มีอยู่นับพันๆชนิด โดยผมได้ทำการคัดเลือกเอาตัวที่มีประโยชน์และไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อการสร้างเอ็นไซม์สำหรับมนุษย์บริโภค ก็พบว่า มีจุลินทรีย์อยู่ 5 ชนิด อันได้แก่ เชื้อแบคทีเรีย Pediococcus spp. 2 ชนิด เชื้อ Lactobacillus 1 ชนิด และเชื้อยีสต์ที่หาได้ยากมากจากแหล่งอื่น แต่มีมากในรากโกงกาง และเป็นเชื้อยีสต์ที่มีประโยชน์มากในด้านการทำลายสารพิษต่างๆไม่ว่าจะเป็นยาฆ่าแมลง สารจากโลหะหนัก หรือสารก่อโรคมะเร็ง ที่เรียกว่า สารอนุมูลอิสระ มันจึงเป็นจุลินทรีย์สุดยอดที่ใช้ในการล้างพิษในร่างการ หรือที่เรียกว่า ดีทอกซ์ได้เป็นอย่างดี คือ เชื้อ ยีสต์ Pichia รวมทั้ง เชื้อยีสต์ที่ช่วยกำจัดกลิ่น กำจัดเหล้า คือ เชื้อ Dekkerra

 
ผมจึงเอาเชื้อจุลินทรีย์ต่างๆเหล่านี้ มาเพาะเลี้ยงในอาหารเลี้ยงเชื้อ 24-36 ชม. แล้วทาน ก็ปรากฎว่า โรคเบาหวานและโรคภูมิแพ้ผมดีขึ้นอย่างมาก แล้วยิ่งมารู้ว่า สิ่งที่ผมทำ ผมสอนมาตลอดชีวิต คือ เห็ดแทบทุกชนิด ล้วนแล้วแต่เป็นยาสุดยอดทั้งนั้น ผมจึงหันไปศึกษาเรื่อง เห็ดเป็นยามากยิ่งขึ้น ยิ่งศึกษา ยิ่งทำให้รู้ว่า เห็ดบางอย่าง มันช่างสุดวิเศษจริงๆ เพียงแต่เราไม่เข้าใจมันมาก่อน ผมจึงใช้เวลาและโอกาสในช่วงที่ไปอยู่ต่างประเทศ ไปเอาเห็ดต่างๆที่ทั่วโลกเขาเอามาใช้เป็นยา ในเมืองไทยมีการปลุกกระแสกันเรื่องเห็ดหลินจือ ซึ่งจริงๆแล้ว เห็ดหลินจือ ก็มีความมหัศจรรย์ในการรักษาโรคบางชนิดได้ระดับหนึ่งเท่านั้นเอง ยิ่งร้ายไปกว่านั้น มีการสร้างกระแสกันอีกว่า สปอร์ของเห็ดหลินจือ มีสรรพคุณอันเหลือเชื่อมากมาย จริงๆแล้ว มันไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพียงแต่ว่า กว่าจะเก็บสปอร์ได้จำนวนมาก มันยากกว่า การเพาะเห็ดเป็นดอก

พอผมไปดูงานที่เมืองจีน รัฐบาลจีนก็ทุ่มเงิน เป็นพันๆล้านบาท สร้างเมืองหนานตง ที่อยู่ใกล้กับเมืองเซียงไฮ้ เป็นเมืองเห็ดหลินจือไปเลย ซึ่งค่อนข้างจะหนักไปทางด้านการค้า และการสร้างกระแส แต่พอเอาเข้าจริงๆแล้ว ผมได้ทดสอบด้วยตัวเอง มันไม่ได้ผลดั่งที่ทำการโฆษณากันเท่าใดนัก ผมจึงมุ่งศึกษาและหาความรู้เกี่ยวกับเห็ดเป็นยาไปเรื่อยๆ จึงทราบว่า มีเห็ดอีกหลายชนิด และเป็นเห้ดที่เกิดธรรมชาติบ้านเรานี่แหละ ที่มีสรรพคุณเป็นยา ดีกว่า เห็ดหลินจือเสียอีก เช่น เห็ดจิก หรือ เห็ดกระถินพิมาน (Phellinus linteus or Phellinus ignarius) เป็นเห็ดที่นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกยอมรับว่า มันมีสรรพคุณในการสร้างภูมิให้แก่ร่างกายมนุษย์ และต่อต้านอนุมูลอิสระ และรักษาโรคมะเร็งได้สุดยอดกว่า เห็ดหลินจือ อย่างเทียบกันไม่ติด เพียงแต่คนไทยส่วนใหญ่ไม่รู้จัก

นอกจากนี้ ก็ยังมีเห็ดเป็นยาอีกมากมายหลายชนิด ที่เราเพาะกันได้ในเมืองไทย ที่มีคุณสมบัติเป็นยา

เช่น เห็ดนางรม เห็ดนางฟ้า เป็นยาที่ดีสำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง ไขมันในเส้นเลือดสูง

เห็ดขอนขาว สำหรับผู้ป่วยมะเร็งตับ มะเร็งปอด

เห็ดแครง สำหรับผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูก

ยังมีเห็ดที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ ที่มีคุณสมบัติเป็นยาที่ดี เช่น เห็ดกระดุมบราซิล สำหรับผู้ป่วยภูมิแพ้ และมะเร็งแทบทุกชนิด

เห็ดถั่งเช่าสีทอง เกี่ยวกับมะเร็งปอด และเพิ่มสมรรถนะทางเพศ

ผมจึงได้รวบรวมเอาบรรดาเห็ดเป็นยาทั้งหลาย เอามาใช้รักษาตัวเอง และใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตเอ็นไซม์ หมายความว่า ผมได้ทำการเพาะทั้งเส้นใยเห็ด และดอกเห็ด แล้วนำมาเป็นอาหารเลี้ยงเชื้อจุลินทรีย์ ซึ่งมันจะได้ทั้งสรรพคุณทางยาจากเห็ด และได้เอ็นไซม์จากจุลินทรีย์ไปพร้อมกันด้วย

ที่กล่าวเรื่องเห็ดเป็นยา ว่าที่ผมทำส่งไปขายในต่างประเทศนั้น มันมีที่มาที่ไปอย่างไร ในส่วนการขายในประเทศไทยนั้น ผมไม่สามารถทำได้ เพราะได้ไปขอใบอนุญาตจากกระทรวงสาธารณสุข ที่เขาเรียกว่า อย.นั้น ไม่มีทางเป็นไปได้เลย ผมจึงตัดสินใจ ไม่มีความพยายามอีกต่อไป ที่จะผลิตเห็ดเป็นยาเพื่อขายในไทยอีกต่อไป และได้ย้ายฐานไปผลิตที่ประเทศอื่นแทนครับ

พอได้อธิบายมาถึงตรงนี้ จึงขอตอบปัญหาที่ถามมาดังนี้
เห็นด้วยที่สุด ที่คุณแม่ของคุณอายุมากแล้ว ไม่ควรนำท่านไปทำการผ่าตัดเอามะเร็งออก เพราะอย่าลืมว่า ทุกคนในโลกนี้ ล้วนแต่มีเซลมะเร็งแฝงอยู่ในร่างกายกันแทบทั้งสิ้น ปัญหามันมีอยู่ว่า ในเมื่อเรารู้ว่า เรามีเซลมะเร็งอยู่ เราก็พยายามหาทางอยู่กับมัน โดยอย่าไปทำอะไรมัน ให้มันลุกลาม หรือแพร่กระจายไปอีก ส่วนใหญ่ คนที่เป็นมะเร็งและเซลมะเร็งกำลังแพร่กระจาย เซลมะเร็งจะไปดึงเอาสารโปรตีนจากร่างกาย ทำให้ร่างกายขาดโปรตีน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โปรตีนที่เขาเรียกว่า โปรตีนไข่ขาว เวลาเราไปตรวจร่างกายดู และหมอเขาก็รู้ว่าเราเป็นมะเร็ง ผู้ป่วยทุกราย จะมีอาการขาดโปรตีนไข่ขาว หมอก็มักจะแนะนำให้ ผู้ป่วยทานโปรตีนที่ย่อยง่ายเข้าไปเยอะๆ

โดยเฉพาะ โปรตีนจากปลา หรืออาหารทะเล แต่จากประสบการณ์ของผม ที่ผมรักษาญาติของผมที่เป็นมะเร็งท้องบวมและหายเป็นปกติได้ในระยะเวลารวดเร็ว แต่พอไปหาหมอ หมอก็บอกว่า ให้ทานโปรตีนจากปลาเยอะๆ ปรากฎว่า เจอปลาทับทิมไปแค่ 2 ครั้งเท่านั้น ท้องกลับมาบวม และเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว ซึ่งก็ไม่ต่างไปจากกรณีของท่านนายกสมัครเลย

ดังนั้น การที่คุณให้คุณแม่ ทานอาหารที่หนักไปทางมังสะวิรัตินั้น ผมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งครับ เพราะอาหารทั้งหลายเหล่านี้ มันจะสามารถไปยับยั้งขบวนการ angiogenesis หรือ การสร้างเส้นเลือดฝอย ไปหล่อเลี้ยงเซลมะเร็ง ก็จะทำให้เซลมะเร็งไม่ลุกลามหรือแพร่กระจายได้ คุณกำลังพาแม่รักษาถูกทางแล้วครับ อย่าเอาท่านไปทรมาณตอนแก่เลย แล้วยิ่งต้องไปฉายแสงและฉีดคีโมอีก ถามว่า มีกี่รายที่รอดระหว่างรักษาบ้าง นอกจากจะเสียเงินเยอะขึ้น และยังทำให้ผู้ป่วยทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสเสียอีก ส่วนเรื่องทานเห็ดหลินจือ หรือทานสปอร์เห็ดหลินจือนั้น ช่วยได้ส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่ไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุด ทางที่ดี ควรใช้เห็ดที่ไปสร้างภูมิคุ้มกัน และทำให้คุณแม่คุณหรือตัวคุณเองแข็งแรง และไปช่วยกำจัดสารก่อมะเร็ง อันได้แก่ พวกอนุมูลอิสระทั้งหลายในร่างกาย รวมทั้งเร่งการตายของเซลมะเร็งที่เขาเรียกว่า ขบวนการ Apotosis ด้วยการสกัดการส่งอาหาร ด้วยผ่านขบวนการสร้างเส้นเลือดฝอย ไม่ให้ส่งอาหารที่เซลมะเร็งต้องการไปให้มัน มันก็จะฝ่อและตายไปที่สุด หรืออย่างน้อยจะไม่ลุกลามต่อ เหนือสิ่งอื่นใด ต้องพยายามทำจิตใจให้ผู้ป่วยมีความสุข อย่าให้กังวลและเครียด ซึ่งมันจะกลายเป็นตัวเร่งให้อาการเลวยิ่งขึ้น

สำหรับคุณเองนั้น ผมก็ขอแนะนำว่า เห็ดเป็นยานั่นแหละครับ ที่จะสามารถเยียวยาสิ่งที่เป็นผลตามมาจากการผ่าตัดเอาเซลมะเร็งของคุณออกไป ขณะเดียวกัน ควรหาทานอาหารที่เป็นเอ็นไซม์ที่มีประโยชน์เข้าไปด้วย

คนที่ไม่เคยทานเห็ดเป็นยาของอานนท์ไบโอเทคมาก่อนนั้น ซึ่งมันจะไปปรับสมดุลย์และภูมิต้านทานในร่างกาย คนที่ขาดสมดุลย์ อาจจะมีอาการข้างเคียงในระยะเริ่มต้น เช่น ครั่นเนื้อครั่นตัว นอนนาน ตื่นสาย เวลาถ่ายจะเหม็นมาก แล้วอุจจาระจะดำ หรือแม้กระทั่งกลิ่นตัวในวันแรกๆ จะถูกไล่ หรือถูกขับออกมาจากทวารทุกอนู หรือ คนที่แพ้อากาศ จะมีอาการคันที่จมูก และนอนนานกว่าปกติ คนที่เป็นเกี่ยวกับไขข้ออักเสบ จะปวดเพิ่มขึ้นในระยะแรก อย่าตกใจ นั่นแสดงว่า ฤทธิ์ของเห็ดกำลังทำงาน ขอให้ทานต่อไปอย่างต่อเนื่อง เว้นเสียแต่ว่า หากอาการปวดทนไม่ไหวจริงๆ อาจจะลดปริมาณลง หรือใช้ยาแก้ปวดเข้าช่วย แค่สองสามวันเท่านั้น