สรรพคุณทางยา ของเห็ดเยื่อไผ่

เห็ดร่างแหหรือเห็ดเยื่อไผ่ หากเพาะในเมืองไทย สามารถเพาะได้ตลอดทั้งปี แต่ขนาดดอกเห็ดไม่โตเท่าของจีน ผลผลิตต่ำ ของจีนเพาะได้ผลผลิตสูงกว่า ทั้งนี้เนื่องจาก ที่เมืองจีน จะทำการเพาะเห็ดร่างแห หรือ ที่เราเรียกว่า เยื่อไผ่ บางคนเข้าใจว่า มาจากเยื่อไผ่ แต่จริงๆแล้ว มาจากเห็ดร่างแห ที่ถือว่า เป็นเห็ดพิษ เพราะส่วนบนของหมวกดอก ที่มีกลิ่นคาวอย่างรุนแรง แต่ หากเอาเนื้อเยื่อสีคล้ำด้านบน เห็ดร่างแห หรือเยื่อไผ่นี่แหละ คือ ยาบำรุงกำลัง หรือกระตุ้นความรู้สึกทางเพศสุดยอดของสมุนไพรอีกชนิดหนึ่ง โดยชาวนาของจีน จะเริ่มทำการเพาะเห็ดเยื่อไผ่ หลังเก็บเกี่ยวข้าวนาปี โดยทำการไถ่ คราด แล้ว ขึ้นแปลง พร้อมทั้งใส่แกลบ ปุ๋ยหมักมูลสัตว์ กิ่งไม้ ใบไม้ ที่ย่อยง่ายสลายเร็วหมกลงไปในดี รดน้ำให้เปียกชุ่ม แล้วใส่เชื้อเห็ดเยื่อไผ่เข้าไป ทำการกลบดิน แล้วคลุมด้วยฟางแห้ง เชื้อเห็ดเยื่อไผ่ จะเจริญเข้าไปในปุ๋ยหมัก และจะเริ่มสะสมอาหาร พร้อมทั้งพักตัวในช่วงอากาศหนาวจัด พอผ่านฤดูหนาวไปแล้ว ประมาณเดือนเมษายน ถึงเดือนพฤษถาคม เกษตรกร จะทำการรดน้ำแปลงเพาะเห็ดเยื่อไผ่ เพื่อกระตุ้นให้เส้นใยเห็ดที่พักตัว เกิดการตื่นตัว และรวมตัวกันเป็นดอก ประมาณเดือน มิถุนายน ดอกเห็ดจะออกบานสะพรั่งอย่างมากในช่วงเดือนมิถุนายน ถึงเดือนกรกฎาคม

เห็ดเยื่อไผ่ ส่วนใหญ่จะเป็นส่วนผสมในยาบำรุงเป็นส่วนใหญ่ แต่หากเป็นการนำมาปรุงอาหาร ก็ใช่ว่าจะทำแค่ซุบเพียงอย่างเดียว ที่ประเทศจีน นิยมทานเห็ดร่างแหสดๆ นำมาปรุงอาหาร ประเภท ผัด ยำ เห็ดเยื่อไผ่น้ำแดง สุกี้เห็ดเยื่อไผ่ เห็ดเยื่อไผ่ยัดไส้ เป็นต้น

สาร Dictyophorine A and B ที่สามารถกระตุ้นให้ร่างกายสร้างเซลประสาทและสมองที่ได้รับการกระทบกระเทือนหรือเสื่อมขึ้นมาใหม่ได้ จึงเหมาะอย่างยิ่ง ที่ใช้เป็นยาบำรุงสมอง รักษาอาการหลงๆลืมๆ หรืออัลไซมเมอร์

ในส่วนที่เป็นวุ้นหุ้มดอกอ่อนเอาไว้ จะเป็นส่วนที่ใช้เป็นส่วนผสมของเครื่องสำอางบำรุงผิว เมื่อดอกบานแล้วสามารถนำไปอบให้แห้ง เก็บไว้ได้นานเป็นปีได้ ยกเว้นคนไทย ที่นิยมทานเห็ดเยื่อไผ่ เพราะเชื่อว่า เห็ดเยื่อไผ่เป็นยาบำรุงชั้นยอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งบำรุงสมองและเสริมสมรรถนะทางเพศนั้น มักนิยมนำเอาเห็ดเยื่อไผ่แห้งที่มีสีขาวสดใสมาปรุงอาหาร
เห็ดเยื่อไผ่นั้น มันมีถิ่นเกิดตามธรรมชาติในเขตอากาศแบบไทยๆของเรานี่เอง แต่ด้วยความที่มันไม่เหมือนเห็ดทั่วๆไป มีลักษณะประหลาด ไม่เหมือนเห็ดทั่วไป หนำซ้ำเวลามันบาน จะมีกระโปรงบานอย่างรวดเร็ว ตรงปลายหมวกของมันจะมีสีดำมีเมือกเยิ้มออกมา และมีกลิ่นคาวอย่างรุนแรง ซึ่งกลิ่นดังกล่าว มีลักษณะคล้ายกลิ่นฟรีโรโมน หรือกลิ่นเฉพาะทางเพศของแมลงบางชนิด เช่น แมลงภู่ ดังนั้น เวลามันบานเพียงไม่กี่นาที ก็จะมีแมลงภู่มาตอมดูดกินเมือกสีดำอย่างเอร็ดอร่อย ซึ่งตรงจุดนี้เอง คือ จุดที่สร้างสปอร์หรือเมล็ดของเห็ด และตัวแมลงภู่นี้เอง ที่เป็นตัวนำพาเอาสปอร์หรือเมล็ดของเห็ดเยื่อไผ่กระจายไปยังที่ไกลๆได้ การที่เห็ดเยื่อไผ่เกิดขึ้นที่บ้านได้นั้น แสดงว่า ตรงนั้น มีอาหารที่เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ใบไผ่หรือปุ๋ยหมักที่สะสมหมักหมมจนกลายเป็นอาหารโอชะของเห็ดชนิดนี้ และสภาพดินฟ้าอากาศเช่นนี้แหละที่ เห็ดเยื่อไผ่ชอบ นี่ก็เท่ากับเป็นอีกบทเรียนหนึ่งที่ทำให้เรารู้ว่า เห็ดเยื่อไผ่ชอบอากาศเช่นไร และไม่ต้องตอบเลยก็ได้ว่า เห็ดชนิดนี้ สามารถเพาะได้ในสภาพบรรยากาศของประเทศไทยได้อย่างดีทีเดียว

ปัญหามีอยู่ว่า แล้วทำไมเราถึงไม่เพาะเห็ดเยื่อไผ่ ก็เพราะเราไม่เคยทานเห็ดพวกนี้ที่เราเพาะขึ้นเองหรือเห็ดที่เกิดธรรมชาติ เพราะรูปร่างมันประหลาด น่าจะเป็นเห็ดพิษ นั่นเป็นความรู้สึกของคนทั่วไปที่ไม่มีความรู้เรื่องเห็ด แต่ถามว่า จริงๆแล้ว เราเคยทานเห็ดชนิดนี้ไหม ต้องบอกว่า ส่วนใหญ่เคยทานกันมาแล้วทั้งสิ้น เช่น เวลาเราไปงานเลี้ยงโต๊ะจีน ส่วนใหญ่ เขาก็จะมีอาหารพวกตุ๋น และมักจะมีเห็ดเยื่อไผ่ใส่เข้าไปด้วย แต่ส่วนใหญ่ เขาจะเรียกสั้นๆว่า ใส่เยื่อไผ่ ซึ่งทำให้หลายคนเข้าใจผิด คืดว่า สิ่งที่เรากำลังทานนั้น คือ ส่วนที่เป็นเยื่อของต้นไผ่ จริงๆแล้ว มันเป็นเห็ด และเห็ดชนิดนี้ มีสรรพคุณทางยาบำรุงร่างกาย บำรุงปอด และซ่อมแซมเซลสมองอย่างดี คนที่มีความจำเสื่อมหรือสูงอายุและหลงๆลืมๆแล้ว ควรทานเห็ดเยื่อไผ่เพื่อช่วยป้องกันและรักษาอาการดังกล่าวได้ สมัยก่อน เห็ดชนิดนี้ หาได้ยากมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่ที่มีอากาศหนาวเย็น มักจะมีเห็ดพวกนี้เกิดขึ้นน้อยมาก ราคาจึงแพงมาก ส่วนใหญ่แล้ว ผู้ที่มีโอกาสได้ทานนั้น ส่วนใหญ่เป็นคนชนชั้นสูง หรือคนที่มีฐานะดีเท่านั้น แต่ปัจจุบัน เห็ดชนิดนี้ สามารถเพาะได้เช่นเดียวกับเห็ดฟาง หรืออาจจะง่ายกว่า เห็ดฟางเสียอีก ในประเทศไทยของเรา สามารถเพาะได้ทุกพื้นที่ ทุกฤดู ตลอดทั้งปี
ดอกเห็ดที่มีลักษณะเหมือนไข่เป็ดอยู่ ควรรีบเก็บก่อนที่มันจะปริบาน กล่าวคือ เก็บตอนที่มันเป็นไข่เป็ดโตเต็มที่ สามารถเก็บไว้ในตู้เย็นได้เป็นเดือน(เก็บไว้ชั้นใส่ผัก) เมื่อไหร่ที่ต้องการจะทาน ให้เอาออกมาวางไว้แค่ 2-3 ชั่วโมง มันก็จะปริและบานภายในไม่กี่ชั่วโมง คือ 1-2 ชั่วโมงเท่านั้น มันก็จะบานเต็มที่ แล้วลองเอาไปผัดเอาไปต้มดู ด้วยการเอาส่วนที่เป็นเมือก ที่เป็นแผ่นด้านบนออกเสีย เพราะมันคาว แต่ตรงนี้ คือ ยาบำรุงสมรรถภาพทางเพศอย่างดีที่สุด ส่วนใหญ่มักจะเอามาหมักหรือดองเหล้าทาน เอาส่วนนี้ออก และส่วนของปลอกหุ้มออก ก็จะเหลือส่วนที่เป็นก้านและกระโปรง เอาส่วนนี้ไปทาน รับรองว่า ทานได้ ไม่เป็นพิษ และอร่อยมาก อร่อยกว่า เห็ดแห้งที่มาจากจีนอย่างเทียบกันไม่ติด ตรงนี้ไง ที่ ดร.อานนท์บอกว่า เห็ดเยื่อไผ่มันดีกว่าเห็ดฟาง ตรงที่ มันสามารถเก็บรักษาให้สดได้นานเป็นเดือน เมื่อไหร่อยากจะทาน ก็เอามาวางให้มันบาน และด้วยความที่เราสามารถควบคุมการบานของดอกเห็ดได้ และด้วยความที่มันเจริญเติบโตเร็วมาก จึงมีภัตตาคารชั้นนำของจีนนับพันๆแห่ง จะเอาไข่เห็ดเยื่อไผ่เก็บไว้ในตู้เย็น เวลาเปิดร้าน ก็จะเอาไข่เห็ดเยื่อไผ่เอาออกมา ตอนลูกค้าเข้าร้าน ก็จะเห็นดอกเห้ดเยื่อไผ่บานสะพรั่ง และก็เอาเห็ดเยื่อไผ่สดๆปรุงอาหารให้ลูกค้าทาน กลายเป็นรายการอาหารที่กำลังได้รับความนิยมสุดๆของเศรษฐีจีนในปัจจุบันนี้ ประเทศไทยน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นเพาะเห็ดเยื่อไผ่เป็นธุรกืจ เพื่อทดแทนการนำเข้าเห็ดเยื่อไผ่ ที่ส่วนใหญ่เป็นเห็ดเยื่อไผ่จากจีนที่มีสารพิษอยู่เกินความปลอดภัยที่จะบริโภคได้ เพราะผ่านการฟอกสีด้วยกำมะถันอย่างแรงมาแล้ว ที่พร้อมรับอาหารที่อุดมไปด้วยสารพิษ สารก่อมะเร็งทุกชนิดอยู่แล้ว และต่อไป ประเทศจีน ที่สถานะทางเศรษฐกิจดีวันดีคืน จะต้องนำเข้าเห็ดชนิดนี้ในอนาคตอันใกล้นี้ เพราะคนจีนนิยมบริโภคเห็ดชนิดนี้มาก ซึ่งที่จีนสามารถเพาะเห็ดเยื่อไผ่ได้เฉพาะฤดูร้อนเท่านั้น ขณะที่ของเราเพาะได้ทั้งปี
ศาสตราจารย์ ดร.สมศักดิ์ ปัญหา(ปัญหา คือ นามสกุลของท่าน) มาออกรายการเรื่องเครื่องสำอางจากเมือกหอยทาก โดยบอกว่า ท่านได้ศึกษาเรื่องหอยทากมานานกว่า 30 ปี ได้ทำการสกัดเอาเมือกหอยทากไทย ที่เรียกว่า หอยทากนวล ซึ่งมีเมือกและสรรพคุณดีกว่า เมือกหอยทากจากต่างประเทศกว่า 30 เท่า เพื่อสนับสนุนให้อุตสาหกรรมเครื่องสำอาง ที่ทำเงินส่งออกกว่าแสนล้าน ที่นิยมใช้เมือกหอยทากนำเข้าจากต่างประเทศ ให้หันมาใช้จากไทยแทน เพราะของเราดีกว่า ซึ่งผมก็ได้ศึกษาในเรื่องเห็ดมาตั้งแต่ปี 2516 นานกว่า ดร.สมศักดิ์เสียอีก ในเรื่อง ของการใช้เห็ดหลายชนิดเอามาทำเครื่องสำอาง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมือกห่อหุ้มเห็ดเยื่อไผ่ ที่มีสรรพคุณดีกว่า เมือกหอยทากอย่างเทียบไม่ติด
ที่ว่าเมือกหอยทากมีสาร Mucin ที่เป็นโปรตีนที่มีน้ำหนักโมเลกุลสูง (Glycosylated proteins(glycoconjugates) มากนั้น ในเห็ดเยื่อไผ่มีมากกว่า และมีความเข้มข้นกว่า หอยทากหลายร้อยเท่า เนื่องจาก เมือกหอยทากถูกหลั่งขึ้นมาเมื่อมันเจอสิ่งที่เป็นอันตราย แต่ของเห็ดเยื่อไผ่ เป็นสารเข้มข้น ที่ถูกสร้างขึ้นมาเหนียวเป็นแบบเจลข้มข้น เพื่อป้องกันดอกอ่อนได้รับการกระทบกระเทือนและป้องกันเชื้อราและแบคทีเรียด้วย ที่ว่า เมือกหอยทากมีสาร อลาโทอิน(Allatoin)สูง ในเห็ดเยื่อไผ่ยิ่งสูงกว่า ซึ่งสารชนิดนี้ เป็นสารธรรมชาติต่อต้านการอักเสบ และการระคายเคืองของผิว โดยปกติ ในเครื่องสำอางจะใช้สารสังเคราะห์ แต่ในเห็ดเยื่อไผ่ ตรงเมือกของมันมีสารนี้สูงมาก นอกจากจะช่วยลดการอักเสบและระคายเคืองต่อผิวที่เบาบางแล้ว มันยังช่วยเพิ่มความชื้นให้แก่เซล เพื่อลดการเหี่ยวย่นได้ ที่สำคัญ เมือกของเห็ดเยื่อไผ่ ยังอุดมไปด้วย กรดกลูโคนิค(Gluconic acid) ไม่ใช่ Glucoric acid ที่นิยมใช้ในเครื่องสำอาง ที่ช่วยทำให้ผิวขาวแต่จะระคายเคืองผิวได้ ส่วนกรดกลูโคนิคในเมือกหุ้มดอกเห็ดเยื่อไผ่ จะช่วยกระตุ้นการสร้างโคลาเจน ทำให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่นได้ดี ผิวหนังกระชับ เต่งตึงได้ดีกว่า ช่วยสร้างหนังกำพร้าที่ตายไปแล้วหลุดเป็นขี้ไคล ให้มีหนังกำพร้าใหม่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ปานเด็กทารก(ใครที่ต้องการเบบี่สกินหรือเฟส ก็เยื่อเห็ดเยื่อไผ่นี่แหละครับที่สุดยอด) ที่สำคัญ เป็นสารธรรมชาติ ที่เพาะได้เอง ที่ไม่มีพิษมีภัย
เห็ดเยื่อไผ่ถือว่า เป็นยาบำรุงอย่างดีที่ใช้กันมาหลายพันปีแล้ว นอกจากนี้ ยังเป็นยาบำรุงไตที่สุดยอด เสริมสร้างภูมิต้านทานให้แก่ร่างกายได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยเหตุนี้ ในต่างประเทศ จึงนิยมนำเอาเห็ดเยื่อไผ่มาทำเป็นอาหารเสริมบำรุงร่างกายให้แก่ผู้ป่วย ผู้สูงอายุ สตรีวัยทอง ผู้ที่สภาพทางเพศเสื่อม มีลูกยาก และพบว่า เห็ดเยื่อไผ่สดๆ จะมีสรรพคุณทางยาดีที่สุด และมีเอ็นไซม์ที่ร่างกายต้องการมากมาย
เห็ดเยื่อไผ่ ที่ถือว่า เป็นสุดยอดของยาบำรุงสมองและบำรุงกำลัง แต่เห็ดเยื่อไผ่ ของจีน ไม่สามารถส่งไปขายประเทศไหนได้อีกเลย เพราะมีสารพิษ จากยาฆ่าแมลงและสารพิษจากกำมะถันที่ใช้อบฟอกขาว สูงกว่ามาตรฐานกำหนดเกือบ 100 เท่า(ไม่ใช่ 100%) เห็ดเยื่อไผ่จากจีน ที่ส่งไปขายต่างประเทศไม่ได้ ก็จะถูกส่งมาขายในราคาถูกกิโลกรัมละไม่กี่ร้อยบาทในประเทศไทย ที่เป็นดังนี้ เนื่องจาก การเพาะเห็ดในประเทศจีน ส่วนใหญ่เพาะกันบนดิน ที่จะต้องมีการใช้ยาฆ่าแมลงราดหรือคลุกดินและวัสดุเพาะเสียก่อน เพื่อป้องกันปลวก ป้องกันมดมาทำลายเชื้อเห็ด แล้วผลของสารพวกนี้ จะติดมากับดอกเห็ดด้วย ด้วยเหตุนี้ จึงขอเตือนบรรดา ท่านที่อยากเพาะเห็ดเยื่อไผ่ทั้งหลายว่า อย่าตามวิธีการเพาะเห็ดเยื่อไผ่บนดิน หรือเพาะร่วมกับพืชอื่นๆที่จะต้องใช้ยาฆ่าแมลง ควรเพาะในกระบะหรือในตะกร้า ที่สามารถป้องกันปัญหาแมลงศัตรูของมันได้ในระดับหนึ่ง ไม่เช่นนั้น ธุรกิจการเพาะเห็ดเยื่อไผ่ของประเทศไทย ก็จะถึงทางตันเฉกเช่น ของประเทศจีน ที่กำลังประสพปัญหาอยู่ขณะนี้ครับ