เห็ดเป็นยา กับโรคเกล็ดเลือดต่ำ ITP

ดร.อานนท์ เอื้อตระกูล

Sat Jan 05, 2013 5:33 am

ตลอดเวลากว่า 20 ปี ที่ได้มีโอกาสไปทำงาน เป็นผู้เชี่ยวชาญเห็ดให้แก่องค์การสหประชาชาติ ประจำภาคพื้นเอเชีย แปซิฟิก และแอฟริกานั้น ผมได้มีพรรคพวก เพื่อนฝูง ลูกศิษย์ ลูกหาเป็นชาวต่างชาติ แตกต่างทั้งเชื้อชาติและเหล่าพันธุ์ แน่นอนคนในเอเชียตะวันออก ก็จะมีผิวพรรณขาวเหลืองแบบจีน ญี่ปุ่น แต่เอเชียตะวันตกสีก็จะคล้ำ ไปทางยุโรปสีขาว วกกลับลงใต้สีดำเลยทีเดียว คนผิวคล้ำหรือผิวดำ มักจะสังเกตไม่ค่อยเห็นถึงอาการเกิดเป็นจ้ำๆตามผิวหนัง แต่คนผิวขาว และสีเหลือง จำนวนไม่น้อย ที่มักจะมีปัญหาตามเนื้อตามตัวเกิดเป็นจ้ำๆ คล้ายๆกับไปโดนชนหรือกระทบกระทั่งกับของแข็งมา แต่กลับไม่ใช่ ที่เป็นเช่นนั้น เกิดจากภาวะเกล็ดเลือด(platelets)ต่ำนั่นเอง
ซึ่งโรคดังกล่าว มักจะเกิดกับเด็ก โดยจะเกิดกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชายถึง 2 เท่า และอาการดังกล่าว เกิดขึ้นชั่วครั้งชั่วคราว อีกไม่กี่สัปดาห์ก็จะหายไปเอง สาเหตุที่เกิดเช่นนี้ ยังไม่ทราบว่า มันมีสาเหตุมาจากอะไร แต่ที่แน่ๆ มันเป็นอาการของร่างกายสร้างภูมิคุมกันที่เรียกว่า แอนตี้บอดี้ ( antibodies) เข้าไปจับเอาเกล็ดเลือดทำลาย ซึ่งปกติแล้ว คนทั่วไป จะมีเกล็ดเลือดอยู่ระดับ 150,000 – 450,000 ต่อไมโครลิตร(microliter) หากเกล็ดเลือดถูกทำลายลงไปเหลือต่ำกว่า 20,000 ก็จะเกิดอาการมีเลือดออกไม่หยุด มีอาการเป็นจ้ำๆคล้ายเลือดคลั่งเป็นจุดๆ สตรีที่มีประจำเดือน ก็จะมีเลือดออกมาก โดยปกติโรคนี้ อาจจะเกิดจากการเป็นโรคอย่างอื่น เช่น อีสุกอีใส หวัด คางทูม โรคเกี่ยวกับไวรัส การใช้ยา การให้คีโม เป็นต้น ซึ่งอาการดังกล่าว เมื่อรักษาโรคนั้นให้หายหรือกลับสู่ภาวะปกติได้ เกล็ดเลือดก็จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้ภายในไม่กี่สัปดาห์ แต่ก็มีจำนวนไม่น้อย แม้ว่า ไม่ได้มีการใช้ยา หรือเป็นโรคอันเป็นสาเหตุให้เกล็ดเลือดต่ำ แต่ร่างกายก็ยังคงกำจัดให้เกล็ดเลือดต่ำจนเป็นอันตราย ซึ่งก็ยังไม่ทราบถึงสาเหตุที่แท้จริง จึงเรียกโรคนี้ว่า โรคเกล็ดเลือดต่ำโดยไม่ทราบสาเหตุ (Idiopathic thrombocytopenia purpura (ITP)

แต่ในด้านการรักษานั้น ยาแผนปัจจุบัน ยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ นอกจากทุเลา ด้วยการใช้ยา Corticosteroids เป็นยาตัวแรก ที่นำมาใช้ในการรักษาโรค ITP คือ พวก Corticosteroids ส่วนใหญ่เราจะใช้ prednisolone ซึ่งสามารถเพิ่มระดับเกล็ดเลือด โดยมันไปกดการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน เมื่อระดับของเกล็ดฟื้นตัวกลับสู่ระดับที่ปลอดภัย ท่านสามารถค่อยๆ ลดยาลง ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 2 – 6 อาทิตย์ โดยยาดังกล่าว เมื่อใช้ติดต่อกันไปนานๆ จะเกิดผลข้างเคียงเกี่ยวกับสายตา กระดูกพรุน เกิดการอักเสบรุนแรง น้ำตาลในเลือดสูง อย่างไรก็ตาม หากหยุดการใช้ยาดังกล่าว อาการเกล็ดเลือดต่ำก็จะกลับมาอีก จึงมีการแนะนำผู้ป่วยควรทานวิตามินดีและแคลเซียมควบคู่กันไปด้วย และอาจจะใช้การฉีดยาพวก immune globulin เข้าเส้นเลือด หรืออาจใช้ยาตัวใหม่ คือ Thrombopoeietin receptor agonists ได้แก่ romiplostim (Nplate) และ eltrombopag (Promata)

โดยยาทั้งสองจะทำหน้าที่ช่วยให้ไขกระดูกผลิตเกล็ดเลือด เพิ่มมากขึ้น และเป็นการลดการเกิดอาการฟกช้ำ ไม่ให้มีเลือดออก (bleeding) แต่ก็มีผลข้างเคียงเช่นกัน ผลสุดท้าย หากทำการรักษาโดยกรรมวิธีดังกล่าวไม่ได้ผล ก็จะทำการตัดเอาม้ามทิ้ง เพราะถือว่า ม้ามเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในการกำจัดเกล็ดเลือด แต่ผลที่ตามมานั้น ไม่แน่เสมอไปที่จะช่วยแก้ปัญหาได้ ในสภาวะอันตรายเกิดจากอาหาร มลภาวะเป็นพิษ และการใช้ยาเคมีมากเกินไป ล้วนแล้วแต่มีผลทำให้เกิดโรคนี้เพิ่มขึ้น จากประสบการณ์ของผู้เขียน ที่ได้ช่วยชีวิตของผู้ป่วยประเภทนี้มาทั้งในและต่างประเทศมานานกว่า 20 ปี พบว่า หากให้ผู้ป่วยทานเห็ดเป็นยาเช่น เห็ดกระดุมบราซิล เห็ดกระถินพิมาน เห็ดถั่งเช่าสีทอง เห็ดหัวลิง ที่ผ่านขบวนการหมักจากจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ เช่น เชื้อยูเอ็ม55 ให้ได้เอ็นไซม์สูงสุดตามที่ต้องการ แล้วให้ผู้ป่วยทานควบคู่ไปกับการรักษาแผนปัจจุบันไปด้วย พบว่า ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น และหายขาดได้

ซึ่งหนึ่งในตัวอย่างผู้ป่วยที่ บ้านเลขที่ 12 หมู่ 4 ตำบลร่องกาศ อำเภอสูงเม่น จ.แพร่ ชื่อ นางทองทิพย์ ประทิศ อายุ 50 ปี ผู้ซึ่งประสพชะตากรรมดังกล่าวมาตั้งแต่เด็กแล้ว มีค่าของเกล็ดเลือดต่ำกว่า 10,000 อาการมีแต่ทรงกับทรุด และร่างกายมีอาการบวม น้ำตาลในเลือดสูง เกิดอาการช๊อคบ่อย มือเท้าเป็นเหน็บชาเกือบเป็นอัมพาต ทั้งเท้าทั้งมือเป็นจ้ำเลือดและบวมเต่ง จนกระทั่งประสาทมือและเท้าเกือบไม่มีความรู้สึก ความดันต่ำ บางครั้งต่ำเหลือแค่ 40 เท่านั้น แต่หลังจากทานเห็ดเป็นยา ที่ทางครอบครัวเอื้อตระกูลให้ทานควบคู่ไปกับการรักษาแผนปัจจุบัน ปรากฏว่า เวลาผ่านไป 2 ปี หลังจากทานเห็ดเป็นยา ทานทุกวันเป็นประจำ ควบคู่กับยาแผนปัจจุบัน อย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด ปรากฏว่า ปรกฏว่า เกล็ดเลือดสูงขึ้นกว่า 150,000 ทั้งความดันและเบาหวานกลับสู่ภาวะปกติ หมอที่ทำการรักษาทุกคนงงถึงความเป็นไปได้ ที่ไม่เคยเกิดมาก่อน ผ่านไป 3 ปีแล้ว คุณทองทิพ ก็สามารถใช้ชีวิตที่แข็งแรงเฉกเช่นคนทั่วไปได้อีกครั้ง แน่นอนในส่วนของกล้ามเนื้อที่เคยเป็นเหน็บชาที่เจ้าตัวบอกว่าเป็นอัมพาตไปนั้น จริงๆแล้วน่าจะเป็นแค่อัมพฤก ตอนนี้ทั้งเท้าและมือเริ่มมีการฟื้นตัวรับความรู้สึกและเคลื่อนไหวได้เกือบปกติ จนกระทั่ง คุณทิพย์ทำงานเกี่ยวกับเย็บปักถักร้อย เปิดร้านตัดเสื้อผ้าของตัวเองได้แล้ว

โรคภูมิคุ้มกันบกพร่องมีอยู่มากมายหลายชนิด และเป็นโรคที่วงการแพทย์แผนปัจจุบัน ยังไม่สามารถหาสาเหตุได้ และยังไม่มีกรรมวิธีใดที่จะรักษาโรคดังกล่าวให้หายขาดหรือดีขึ้นได้ เว้นแต่ทำให้ทรงหรือทุเลาลงไปได้บ้างด้วยการให้ยาพวกสเตอรอยด์ หรือยากดภูมิ ซึ่งยาต่างๆเหล่านี้ จะมีผลข้างเคียงและใช้ไปนานๆ อวัยวะส่วนที่สำคัญก็จะถูกทำลาย ผลที่สุด ผู้ป่วยก็จะจากไปอย่างเวทนา เช่นเดียวกับในรายของคุณทองทิพย์ ที่ใครต่อใครก็ซุบซิบกัน รวมทั้งตัวของคุณทองทิพย์เองว่า คงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน เพราะจากการที่ร่างกายบวมเป่ง ไม่มีเรี่ยว มีแรง แต่ก็เพาะคุณพ่อ คุณแม่ของคุณทองทิพย์ เมื่อครั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ เคยทำงานอยู่กับครอบครัว ดร.อานนท์ อย่างขยันขันแข็งมาก่อน ทาง ดร.อานนท์ จึงได้ให้ความเมตตาแก่คุณทองทิพย์ ด้วยการที่นำเอาเห็ดหลายชนิด อันได้แก่ เห็ดกระดุมบราซิล เห็ดจ้าวหลินจือ เห็ดหิ้งไซบีเรีย มาทำการรักษาคุณทองทิพย์ จนกลับเข้าสู่ภาวะปกติ และ ดร.อานนท์ ก็ติดตามผลเป็นระยะอย่างใกล้ชิดต่อเนื่อง และทุกปี ก็จะเดินทางไปเยี่ยมติดตามผลของคุณทองทิพย์เสมอมา

คราวนี้ ก็เพิ่งไปพบคุณทองทิพย์มา พบว่า โดยรวมแล้ว สุขภาพยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก ยกเว้นโรคแทรกซ้อนชนิดใหม่เกิดขึ้น คือ เป็นตุ่มเล็กๆที่ร่องรักแร้ แล้วเป็นตุ่มลักษณะเป็นถุงน้ำลามไปทั่ว หรือที่เรียกว่า ไฟลามทุ่งหรือเริม ดร.อานนท์ จึงได้จัดเห็ดเป็นยารักษาทันที ปรากฏว่าใช้เวลาไม่กี่วัน โรคเริม ที่เกิดจากเชื้อไวรัสยุบตัวลงอย่างรวดเร็ว แต่แผลที่ยังคงมีให้เห็น แม้ว่า จะมีผิวหนังใหม่เกิดขึ้น ดูเหมือนเป็นปกติ แต่คุณทองทิพย์ มีความรู้สึกปวดแสบ ปวดร้อน ซึ่งก็เป็นลักษณะของคนที่เป็นเริมโดยทั่วไป เมื่อหายแล้ว จะปวดแสบปวดร้อนอยู่ใต้ผิวหนัง  ค่อนข้างจะทรมาณกว่าช่วงที่เป็นเริมเสียอีก ด้วยเหตุนี้ ดร.อานนท์ จึงได้เอาครีมที่มีส่วนผสมของเชียบัตเตอร์ที่นำมาจากประเทศโบกินาฟาซูให้ทา คุณทองทิพย์ทาบริเวณที่เคยเป็นเริม ปรากฏว่าหลังจากทา อาการปวดแสบปวดร้อนลดลงอย่างเห็นได้ชัด และทาติดต่อกันไม่นาน อาการกลับคืนสู่ปกติอย่างรวดเร็ว ใครก็ตาม ที่มีปัญหาเกี่ยวกับผิวหนังแห้ง ผิวหนังแพ้สารเคมี แพ้ผงซักฟอก เป็นสะเก็ดเงิน เช่นเดียวกับ ผู้ที่เป็นมะเร็ง ที่จำเป็นต้องฉายแสงหรือฉีดคีโมอาการปวดแสบปวดร้อนจากการฉายรังสีหรือให้คีโมแล้ว เกิดผลข้างเคียงของยา เกิดอาการปวดแสบปวดร้อนใต้ผิวหนัง ก็สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยการใช้ครีมจากเชียบัตเตอร์ดังกล่าว

ขณะนี้ คุณทองทิพย์ สามารถดำรงชีวิตและทำงานได้อย่างปกติแล้ว ทั้งๆที่มีการคาดการณ์ว่า จะมีชีวิตเหลืออยู่สั้นมากแล้ว แต่นี่เวลาผ่านไปกว่า 3 ปี แล้ว จึงน่าจะเป็นตัวอย่างอันดี สำหรับท่านที่กำลังสิ้นหวังจากการเป็นโรคภูมิคุ้มกันทำลายตัวเอง