คงจำได้น๊ะครับ เมื่อปีก่อนโน้น(2558) ผมได้คุยเรื่องพระอาจารย์ราชพงษ์ พระเกจิอาจารย์ชื่อดัง ที่ชาวบ้านเลื่อมใสศรัทธากันมากไม่เพียงแต่ในไทย ในต่างประเทศด้วย ท่านเป็นพระที่เคร่งครัดในทางปฏิบัติ เป็นพระอยู่ในวัดป่าจังหวัดสกลนคร ท่านบวชตั้งแต่อายุสิบกว่าเป็นสามเณร แล้วบวชเป็นพระมากว่า 23 พรรษาแล้ว สาเหตุที่ท่านบวชเพราะว่า ท่านเห็นคุณพ่อ คุณแม่ของท่านทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส เนื่องจาก เป็นโรคร้ายเกี่ยวกับเลือดเป็นพิษ และได้รับการรักษาด้วยยาแผนปัจจุบัน แต่ก็ไม่หาย กลับมีอาการเจ็บป่วยแล้วเสียชีวิตไปด้วยอายุแค่ห้าสิบกว่าปีเท่านั้น ท่านจึงรู้ตัวดีว่า โรคนี้ต้องเป็นโรคที่ติดต่อทางด้านกรรมพันธุ์แน่ๆ ดังนั้น ท่านจึงตัดสินใจบวชตลอดชีวิต โดยจะขออาศัยการบำบัดโรคด้วยการปฏิบัติธรรม และแล้ว อาการโรคเลือดเป็นพิษของท่านก็เริ่มแสดงให้เห็นเมื่ออายุยี่สิบกว่า ท่านก็อาศัยการปฏิบัติธรรมในการรักษาโรคของท่าน แน่นอนระยะที่แสดงอาการของโรคเลือดใหม่ๆนั้น ท่านก็ไม่ได้ปฏิเสธการรักษาด้วยกรรมวิธีทางแพทย์แผนปัจจุบัน แต่พอท่านเข้ารับการรักษามาถึงระดับหนึ่ง อาการของโรคก็ยิ่งแย่ลง และยาที่ได้รับ ก็เป็นแค่ยากดภูมิ และยาแก้ปวดประเภทสเตอรอยด์เท่านั้น ท่านจึงตัดสินใจ ปฏิเสธการรักษาด้วยกรรมวิธีนี้อย่างสิ้นเชิง หันมาเลือกในการปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัดแต่เพียงอย่างเดียว ซึ่งอาการของพระอาจารย์ได้ทรุดลงเรื่อยๆ แล้วหมดสติไปหลายวันถึงสองครั้ง(น้องสาวบอกว่า ท่านตายไปสองครั้ง) พอท่านฟื้นขึ้นมา อาการก็ยังย่ำแย่ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเกิดแผลผุพองเป็นหนอง เป็นเกล็ดเดินไม่ได้ ขยับมือไม่ได้เลย ท่านก็ได้แต่ปลง และก็ยังมีความหวังว่าสักวันหนึ่งท่านจะต้องเจอยาวิเศษที่จะช่วยชีวิตท่านได้

เมื่อต้นปีที่แล้ว น้องสาวของท่าน ที่ชื่อ คุณศรีสุดา เกียรติกุล น้องสาวคนเดียวของพระอาจารย์ ทนเห็นสภาพพี่ชายป่วยเช่นนี้ไม่ไหว พยายามอย่างสุดชีวิต ที่จะหาอะไรมาช่วยชีวิตของท่าน จึงค้นหาในเน็ต และได้อ่านข่าวเรื่อง การใช้เห็ดเป็นยา รักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคเลือดเป็นพิษ เช่น โรคพุ่มพวง โรคเอ็สแอลอี โรคไอทีพี ซึ่งตอนนั้น ผมได้เขียนในเวป www.anonbiotec.com ตอนนี้เปลี่ยนเป็น www.anonbiotec.net ได้มีการพูดถึงท่านผู้กำกับตำรวจท่านหนึ่ง ที่อยู่ทางภาคใต้ และภรรยาท่านก็เป็นคุณหมอ เป็นโรคเลือดเป็นพิษอย่างรุนแรง รักษามาจนร่างกายเคลื่อนไหวแทบไม่ได้ ตอนหลังได้นำเอาเห้ดเป็นยาไปทาน ก็ดีวันดีคืน จนกลับเข้ารับราชการตำรวจได้เหมือนเดิม คุณศรีสุดา ก็เลยติดต่อมาทางร้านอานนท์ไบโอเทค แล้วทางร้านก็ได้แจ้งมาให้ทางผมทราบ ผมก็เลยรับไว้เป็นผู้ป่วยพิเศษ ที่ผมจะช่วยเหลือฟรีตลอดไป โดยผมได้ส่งเห็ดเป็นยาไปให้ท่านฉันเมื่อต้นปี 2557 พอพระอาจารย์ฉันเข้าไปไม่กี่วัน ก็เกิดอาการเช่นเดียวกับผู้กำกับ กล่าวคือ เกิดอาการเป็นไข้ ตัวร้อน และเจ็บปวดไปทั่วร่างกาย คุณศรีสุดาก็ตกใจมากเกรงว่า พระอาจารย์จะได้รับอันตราย รีบโทรมาปรึกษาผมว่า ทำไมจึงมีอาการเช่นนั้น ก็เลยได้ชี้แจงไปว่า นั่นคือ สัญญานที่ดี และถูกทางแล้ว ขอให้ท่านฉันต่อไป หากเจ็บปวดมาก ทนไม่ไหว ก็ขอให้งดหรือลดปริมาณลง ท่านก็ปฏิบัติตาม พอผ่านพ้นจากช่วงเวลาวิกฤติดังกล่าวได้ อาการของท่านเริ่มดีขึ้น และส่วนต่างๆก็ดีขึ้นตลอด นี่คือ ลักษณะเริ่มแรกที่ท่านเป็นแผลมีหนองขยับตัวและงอมืองอเท้าไม่ได้เลย

[envira-gallery id=”2859″]

ครับท่านสมาชิกและสาธุชนทั้งหลาย วันนี้ก็ครบเวลาหนึ่งปีเต็ม(2558 )ที่ผมได้ถวายเห็ดเป็นยาให้แก่พระอาจารย์ราชพงษ์อย่างต่อเนื่อง อาการของท่านดีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อสองเดือนที่แล้ว ท่านฝากน้องสาว คือ คุณศรีสุดามาขอบคุณผมว่า อาการของท่านดีขึ้นเป็นล้านเท่า และวันนี้ได้ข่าวที่น่ายินดีจากน้องสาวของพระอาจารย์ พร้อมทั้งรูปถ่ายของพระอาจารย์ว่า ท่านสามารถสรงน้ำได้แล้ว และตรงบริเวณที่เคยเจ็บปวด เป็นแผลผุพองเรื้องรังได้หาย และเริ่มมีเหงื่อเกิดขึ้นบ้างแล้ว ดังรายงานของคุณศรีสุดา ดังนี้

อาการท่านเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆท่านสามารถสรงน้ำได้แล้วและลอกเอาผิวที่เสียออกมาได้จากแต่ก่อนโดนน้ำแล้วปวดแสบปวดร้อน ผิวหนังก็เริ่มมีเหงื่อซึมนิดหน่อยอาการเดิมก็เกิดอยู่ข้างในตามข้อพับต่างๆผิวหนังดีขึ้นขนตามแขนขาออกมาเยอะขึ้นค่ะ

จึงขอเชิญชวนสมาชิกทุกท่านร่วมอนุโมทนาสาธุกับข่าวดีนี้ด้วยเถอะ ดูรูปสิครับ

[envira-gallery id=”2861″]
เนื่องจากผมและพระอาจารย์ราชพงษ์ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ผมเองไม่เคยได้ยินชื่อ หรือรู้ว่าท่านเป็นพระเกจิดังมาก่อนเลย แต่ก็ด้วยจิตเบื้องสูง มีการสื่อถึงกัน หรือทำบุญร่วมกันมาก่อน ทำให้ช่วงที่ผมไปบรรยายให้คณะบุคคลากรของโรงพยาบาลมะเร็งอุดร(2558) ผมจึงเกิดความคิดว่า ไหนๆ ผมมาอุดรแล้ว ผมน่าจะไปดูอาการของพระอาจารย์ราชพงษ์ โดยผมไม่ทราบว่า ท่านอยู่ที่ไหน เพียงแต่อยากไป พอบรรยาเสร็จตอนบ่าย ท่านผู้อำนวยการโรงพยาบาลมะเร็งอุดร ท่านนายแพทย์อิสระ เจียวิริยบุญญา ได้กรุณาจัดรถตู้ไปส่งผมและอาจารย์แม่ถึงสกลนคร โดยน้องสาวของพระอาจารย์มารับพาผมไปวัดที่พระอาจารย์จำวัดอยู่ในป่า กว่าจะถึงที่วัดก็มืดพอดี แล้วก็ได้ดูอาการของท่าน พร้อมทั้งได้ถวายยา และชโลมส่วนที่ท่านยังมีอาการเจ็บปวดอยู่ให้ท่าน

[envira-gallery id=”2862″]

จากนั้น เวลาผมมีโอกาสขับรถไปที่บ้านที่นครพนม ผมก็มักจะแวะไปกราบนมัสการท่าน แล้วนำเห็ดเป็นยาไปถวายท่านเป็นประจำครับ