คำถามจากคุณอรุณี

คุณแม่อายุ 92ปี อวัยวะต่างๆ คงทรุดลง คุณแม่มักจะท้องอืด อาหารไม่ย่อย และเป็นโรคกรดไหลย้อน ถ้าไม่รวมอาการข้างต้นนับว่าคุณแม่เป็นคนแข็งแรง และมีความจำดีมาก ยกเว้นวันใดนอนไม่หลับจะมีอาการงง และต้องคอยประคองถ้าเป็นมากต้องรับหมอมาที่บ้าน แต่ถ้าปกติก็สามารถเดินได้สบายๆ

ดร.อานนท์ เอื้อตระกูล

ในกรณีของคุณแม่คุณนั้น ก็เช่นเดียวกับผู้สูงอายุโดยทั่วไป เพราะอวัยวะทุกส่วนเริ่มเสื่อมสมรรถนะลงไปมากแล้ว ดังนั้น ไม่ว่าระบบการย่อย การสร้างภูมิต้านทาน การนำเอาสารอาหารไปหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย ก็ย่อมมีประสิทธิภาพลดลงเช่นกัน ในเมื่อส่วนนี้คือ สัจธรรม ที่ใครๆก็รู้ ส่วนใหญ่ก็ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ หรือตามกฎแห่งกรรม แต่จริงๆแล้ว เรายังสามารถช่วยท่าน ให้อยู่กับเราไปได้อีกนานครับ

ผมยกตัวอย่างคุณป้าของผม ปัจจุบันท่านอายุ 99 ปี กำลังจะขึ้น 100 ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้แล้ว ท่านก็เป็นโรคชราเช่นเดียวกับคนชราทั่วไป แน่นอน ส่วนหนึ่ง ก็คือ ระบบการย่อย ที่จะมีประสิทธิภาพลดลง นั่นมิได้หมายความว่า กระเพาะของท่านไม่ทำงาน ก็ยังทำงานตามปกติ เพียงแต่น้ำย่อยที่ร่างกายสร้างขึ้นมาไม่เพียงพอต่อการย่อยอาหาร และจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ในลำไส้ใหญ่ เป็นส่วนใหญ่นั้น ก็จะเป็นจุลินทรีย์ที่ช่วยในการย่อยเศษอาหาร หรืออาหารบางส่วนน้อยลง ในส่วนนี้ เราต้องแก้ปัญหาด้วยการเพิ่มเอ็นไซม์จากข้างนอกเข้าไป คำว่า เอ็นไซม์นั้น ไม่จำเป็นจะต้องเป็นเอ็นไซม์สำเร็จรูปที่ทำการโฆษณากันตามสื่อต่างๆเต็มไปหมดและมีราคาแพง เอ็นไซม์ที่ร่างกายเราต้องการ สามารถทำการเตรียมได้ง่ายๆ ราคาถูกๆ เช่น จาก ผัก ผลไม้สดๆ นมเปรี้ยว ข้าวหมากหมักใหม่ๆ มะละกอสด สัปรด เป็นต้น

ทีนี้ในส่วนที่  ท่านนอนไม่หลับ มึนงง เป็นบางครั้ง บางครั้งไม่มีเรี่ยวไม่มีแรง ลักษณะเช่นนี้ ส่วนหนึ่งเกี่ยวกับปัญหาข้างบน และอีกส่วนหนึ่งก็เนื่องจาก อวัยวะส่วนอื่นของท่านเริ่มมีประสิทธิภาพลดลง โดยองค์รวมแล้ว ท่านต้องได้รับการยกเครื่องอวัยวะส่วนใหญ่ที่เริ่มทรุดลงนั้น ให้กลับมาทำงานใหม่ เฉกเช่น เครื่องจักรกลที่ใช้ติดต่อกันไปนานๆ ก็ควรจะต้องเข้ารับการตรวจสอบ และบำรุงบ้าง เช่นเดียวกันกับคุณแม่ของคุณ ก่อนอื่น ให้เน้นไปที่เรื่องของเอ็นไซม์ดังที่กล่าวมาแล้ว เพราะเอ็นไซม์ คือ ส่วนสำคัญที่สุดในการดำรงชีวิต ทำไมคนภูฎาน คนทิเบต คนมองโกเลีย คนเกาหลี คนญี่ปุ่น เอสกิโม จึงมีอายุยืน ก็เพราะคนพวกนี้ ทานอาหารที่มีเอ็นไซม์อยู่เข้าไปตลอด เช่น คนทิเบต ภูฎาน มองโกเลีย ทานเนื้อแห้ง ที่ตากด้วยความเย็นจัด ดื่มนมเปรี้ยว ผักสดๆ

ในเมื่อมนุษย์ได้รับเอ็นไซม์อย่างเพียงพอ การดำเนินภารกิจในส่วนต่างๆของอวัยวะก็จะเป็นไปตามปกติ แต่อาจจะมีอวัยวะบางส่วน แม้ว่า จะมีเอ็นไซม์อย่างเพียงพอ แต่ก็ยังไม่เป็นปกติ เช่น เส้นเลือดตีบ อันเนื่องจากไขมันในเส้นเลือดอุดตัน การสูบฉีดเลือดผ่านหัวใจไม่ปกติ ก็จะพลอยให้มีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจไปด้วย ขณะเดียวกัน ขบวนการฟอกหรือกำจัดของเสียออกจากร่างกาย เช่น ปอด ไต รวมทั้งตับ อาจจะมีความบกพร่องบางจุด หรือ บางส่วน ก็จะส่งผลไปถึง การสร้างภูมิต้านทานโรค กำลังวังชาที่ใช้ในการเคลื่อนไหว คุณป้าของผมท่านก็มีปัญหาดังกล่าว และการที่ท่านลุก นั่ง เดินลำบาก พออวัยวะส่วนใดที่ไม่ได้รับการเคลื่อนไหว ก็จะมีผื่น ตุ่ม เกิดขึ้น นี่หมายรวมทั้งความจำด้วย ที่เป็นผลจากการที่สารอาหาร หรือออกซิเจนเอาไปหล่อเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ก็ทำให้ความจำเลอะเลือน มึนงง และนอนไม่หลับ ในส่วนนี้ เห็ดหลายชนิด เช่น เห็ดกระดุมบราซิล เห็ดหลินจือ เห็ดหิ้งไซบีเรีย เห็ดจิกหรือเห็ดกระถินพิมาน เห็ดช้อนซ้อน สามารถช่วยได้ ด้วยการไปช่วยให้ร่างกายมีภูมิต้านทานดีขึ้น และสาร เบต้ากลูแคน ที่เป็น polysaccharide ของน้ำตาล pentose จะเข้าไปเสริมสร้างภูมิต้านทาน และกระตุ้นให้ร่างกายทำการซ่อมแซมส่วนต่างๆที่ตายไปหรือสึกหรอได้เร็วยิ่งขึ้น แต่การทานเห็ดให้ได้ผลนั้น ใช่ว่า จะเอาเห็ดตัวใดตัวหนึ่ง หรือหลายตัวมาผสมกัน แล้วมันจะช่วยอะไรได้มาก ทั้งนี้ เนื่องจากสารเบต้ากลูแคนที่มีอยู่ในเห็ดนั้น แม้ตัวของเห็ดเอง มันยังเอาสารนี้ไปใช้ไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ ลำพังแต่การทำงานในการย่อยของอวัยวะต่างๆของร่างกาย ที่จะย่อยและดูดซึมเอาสารที่เป็นยาจากเห็ดเอาไปใช้นั้น มีความเป็นไปได้น้อยมาก เว้นเสียแต่ว่า ในร่างกายมีเอ็นไซม์ หรือจุลินทรีย์บางชนิด ที่จะช่วยย่อยสารต่างๆที่มีคุณสมบัติเป็นยาจากเห็ด ให้ร่างกายของเรานำเอาไปใช้ได้ เห็ดเป็นยา ที่อานนท์ไบโอเทค ได้ทำการเพาะ และผสมตามสูตรต่างๆ เพื่อการส่งออกนั้น จึงไม่ได้มีเฉพาะเห็ดเท่านั้น เป็นส่วนผสมที่สำคัญ เรายังมีการผสมสมุนไพรที่สำคัญบางตัว ที่มีส่วนช่วยในการย่อยเอาสารอาหารจากเห็ดเข้าไปสู่ร่างกายของมนุษย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น เทียนมา โกฐเชียง โสมภูเขา โสมคน มันแอฟริกัน (African potato) เป็นต้น

สรุปแล้ว จึงขอแนะนำให้คุณแม่ของคุณทานเอ็นไซม์จากของสดอย่างสม่ำเสมอ หากท่านมีปัญหาในการทานเอ็นไซม์สดๆจากธรรมชาติ ท่านอาจจะทานเอ็นไซม์ของอานนท์ไบโอเทค ครั้งละเม็ดก่อนอาหาร 1 ชม. ประมาณ 2-3 วัน จนกระทั่ง ระบบการย่อยและการถ่ายเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว อาจจะลดจำนวนเอ็นไซม์ลง ส่วนการบำรุง การเสริมภูมิต้านทานโรคนั้น ท่านควรทานเห็ดผสมของอานนท์ไบโอเทค มื้อละ 2-3 แคปซูลก่อนอาหาร 1 ชม. เช่นกัน ช่วงแรกๆ ท่านอาจจะมีอาการตอบสนอง ที่อาจจะมีเหงื่อออก และมีความรู้สึกภายในแทบทุกส่วนของร่างกายมีความเคลื่อนไหว ผิวพรรณดูมีน้ำมีนวล ระบบขับถ่ายเริ่มดีขึ้น(ระยะแรกๆ เวลาถ่าย สีของอุจจาระจะดำ อาจจะมีกลิ่นเหม็นมาก เพราะสารอาหารในเห็ด ร่วมกับจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ มันจะไปช่วยขับสิ่งปฎิกูล ที่สะสมหมักหมมอยู่ตามผนังลำไส้ให้หลุดออกมาเป็นสีคล้ำหรือดำ) เมื่อท่านเริ่มแข็งแรง(ส่วนใหญ่ไม่น่าเกิน 5-7 วัน) ก็สามารถลดปริมาณเห็ดเป็นยาลงมาได้ เมื่อท่านเข้าสู่ภาวะปกติ ก็ไม่จำเป็นต้องทานเห็ดเป็นยาอย่างต่อเนื่องอีกต่อไป เช่นเดียวกับคุณป้าผม ตอนนี้ ก็แทบไม่ต้องใช้เห็ดเป็นยาติดต่อกันอีกต่อไป เพียงนานๆครั้ง ก็ให้บ้าง เช่น สัปดาห์ละครั้ง สองครั้ง เป็นต้น ผมยกตัวอย่างเฉพาะคุณป้าผมรายเดียว จริงๆแล้ว ยังมีผู้สูงอายุอีกจำนวนมาก ทั้งเป็นญาติสนิทและเป็นญาติผู้ใหญ่ของผมเอง รวมทั้งจาก ผู้สูงอายุทั่วๆไป ที่เอาเห็ดเป็นยา จากอานนท์ไบโอเทคไปทาน ส่วนใหญ่ได้ผลในทางที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ป่วยมะเร็ง ที่ต้องทำการรักษาด้วยคีโม หรือผู้ป่วยเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้ รวมทั้งโรคเอดส์ เบาหวาน และไขข้ออักเสบ ครับ