ผมรู้ตัวดีว่า บางอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวเรา มันเกี่ยวกับกรรมพันธุ์ เช่น โรคเบาหวานที่ผมเป็นก็เกี่ยวกับกรรมพันธุ์ที่ทางคุณแม่ผมเป็นกันเยอะ แล้วผมจะเหลือเหรอ ผมก็ทันสมัยเป็นกะเขาเช่นกัน เห็นเขาอินเทรนฉีดอินซูลิน ผมก็ต้องเอากับเขาไปด้วย แล้วผมยังเคราะห์ร้าย นอกจากจะเป็นเบาหวานแล้ว ยังเป็นโรคภูมิแพ้อย่างเรื้อรัง ตั้งแต่ตื่นนอน จนกระทั่งถึงเที่ยงวัน จะต้องทนทรมานกับน้ำมูกไหลวันๆหนึ่งต้องใช้กระดาษทิชชูอย่างน้อยหนึ่งม้วนและเอาวิคทาจมูกตลอดเวลา กลายเป็นคนติดยาติดวิคไป หมอจึงสั่งให้กินยาแก้แพ้ประเภทแอนตี้ฮีสตามีน จนสลึมสะลืออารมย์ฉุนเฉียวมานานแล้ว แต่ตอนหลังหักดิบ ทำการศึกษา ทำการทดลองแบบหักดิบ ละ ลด เลิกและหันหลังให้ยาแผนปัจจุบันให้หมด หันมาศึกษาจริงๆจังๆว่า จริงๆแล้ว มนุษย์นั้น จะแก้ปัญหาความด้อยในสุขภาพได้อย่างไร ก็มาจบเอาตรงที่พฤติกรรมการกินของเราไง เรามัวแต่กินของสุก ที่เอ็นไซม์ถูกทำลาย ร่างกายขาดเอ็นไซม์ เวลาเราทานอะไรเข้าไป พอเอ็นไซม์ช่วยย่อยเราไม่พอ(Digestive enzymes) ขบวนการย่อยก็ต้องไปบังคับเอาเอ็นไซม์ที่ถูกสร้างมาเอาอาหารที่ถูกย่อยไปหล่อเลี้ยงร่างกาย(Metabolic enzymes)

ด้วยเหตุนี้ พอสุดท้ายแล้ว อาหารถูกย่อยแล้ว ไม่มีเอ็นไซม์ที่จะนำเอาสิ่งเหล่านี้เข้าไปหล่อเลี้ยงร่างกายได้ มันจึงเหลออยู่ในระบบ ในเลือด นี่ไง ที่ผมและญาติผมเป็นเบาหวาน สาเหตุหลักมันอยู่ตรงนี้ไง ผมก็ต้องศึกษาว่า แล้วเจ้าเอ็นไซม์ที่ผมขาดนั้น ผมจะไปหาจากที่ไหนทดแทน คำตอบที่ง่ายที่สุด คือ ซื้อสิ ใหม่ๆก็ซื้อครับ แต่ตอนหลังทนไม่ไหว เพราะราคามันแพง แล้วก็ไม่รู้ว่า มันเป็นเอ็นไซม์ประเภทไหน(เพราะจริงๆแล้ว มนุษย์เราต้องการเอ็นไซม์หลายหมื่นชนิด มนุษย์เราที่ว่าฉลาดแล้วนั้น รู้เพียงสองสามพันชนิดเท่านั้น ที่เหลือเรายังโง่และไม่รู้)

ตอนหลังผมก็ลองศึกษาว่า จริงๆแล้วเขาทำเอ็นไซม์กันอย่างไร ใหม่ๆก็หลงเชื่อว่า การทำเอ็นไซม์นั้น ต้องทำหลายๆปี หรือเป็นสิบๆปียิ่งดี แต่พอศึกษาไปๆมาๆ ก็พบว่า นั่นมันเป็นการสับขาหลอกกันนี่หว่า เพราะความเป็นจริงแล้ว เอ็นไซม์ที่ร่างกายสร้างขึ้นนั้น มันสร้างทันทีที่อาหารเข้าไปในร่างกาย หรือเอ็นไซม์ที่ต้องอาศัยจุลินทรีย์ ก็จะถูกสร้างมาในไม่กี่ชั่วโมง ไม่ใช่หลายปี ผลสุดท้ายมาจบตรงที่ว่า

สุดยอดของการทำเอ็นไซม์และตัวอย่างของเอ็นไซม์ที่ดีที่สุด ก็คือ ข้าวหมากที่ราคาถูกๆ ที่ดูบ้านนอกๆนั่แหละคือ สุดยอดของเอ็นไซม์ที่มนุษย์ส่วนใหญ่สามารถทำเองได้ เพียงแต่แทนที่จะใช้เชื้อข้าวหมาก ก็ควรใช้เชื้อจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์แทน ตอนหลัง ผมก็ทั้งทำ ทั้งสอนให้คนที่ผมรัก คนที่มาเรียนรู้กับผม พรรคพวก เพื่อนฝูง ให้หัดทำเอ็นไซม์ใช้เอง ซึ่งก็น่าดีใจที่ทำให้เรื่องนี้ ได้แพร่กระจายไปแทบทุกมุมโลกอย่างรวดเร็ว ส่วนตัวผม เดี๋ยวนี้ ก็ไม่มีปัญหาเรื่อง เบาหวานและภูมิแพ้อีกเลย โดยเอ็นไซม์ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเรื่องนี้ ร่วมกับการใช้เห็ดหลายชนิด ที่มีคุณสมบัติช่วยแก้ปัญหาสุขภาพได้ นี่ผมแค่จั่วหัวถึงเรื่อง ความเป็นไปเป็นมาว่า เดี๋ยวนี้ อยากรู้อะไร ลงมือทำเองเลยครับ

ที่ผมจะพูดต่อไปก็เป็นเรื่องกรรมพันธุ์ของผม ที่ญาติฝ่ายแม่ของผม เวลาแก่ตัว มักจะมีชิ้นเนื้องอกออกมาตามคอ ตามหน้า เป็นติ่งอยู่ๆก็โผล่ออกมา คุณแม่ผมก็เป็นที่คอ ป้าผมก็เป็นที่หน้า นี่ผมอายุย่างเข้า 64 ปีแล้ว อยู่ๆ ผมก็มีความรู้สึกว่า มันเกิดอะไรขึ้นเป็นลักษณะตุ่ม แต่ไม่เจ็บไม่คัน อ้าวนานเข้า มันเจริญขึ้นมาเป็นเนื้อห้อยออกมา อ้าวอีกไม่นาน ก็เกิดขึ้นที่แก้ม มีลักษณะคล้ายสิว แต่ไม่ใช่สิว เพราะไม่อักเสบ ไม่เจ็บ ไม่ปวด เสร็จแล้วมันก็โตเอาๆ

ผมจึงรู้แน่ว่า นี่มันเป็นกรรมพันธุ์ของผมเอง เอ้จะไปหาหมอ ให้เขาเอาไฟจี้หรือตัดออกจะดีไหม แค่คิดในใจ แต่จริงๆไม่ไปเด็ดขาด เพราะผมเป็นโรคเกรงใจหมอ(กลัวหมอ) เผอิญว่า ช่วงนี้ เป็นช่วงที่ทางภรรยาผม และลูกสาว เขากำลังแปรรูปมะม่วงหาว มะนาวโห่ และกำลังเจอปัญหายางของมันติดหม้อ และเหนียวมือ เปิดดูจากกูเกิ้ลในหลายตำราก็บอกว่า ยางของมันแก้หูด แก้ชิ้นเนื้องอก หรือที่ภาษาทางการเรียกว่า กระเนื้อ

ผมเลยบอกให้ภรรยาและลูกสาวผมว่า ได้เลย เอาหน้าพ่อนี่แหละทดลองดูสิ ว่า มันเป็นเช่นนั้นจริงไหม ปรากฏว่า ทั้งเมียทั้งลูกไม่เห็นด้วย กลัวว่าหน้าพ่อจะพัง ก็เลยบอกว่าไม่ต้องห่วงหากพังมันก็หน้าพ่อนี่หว่า และการที่เราอยากรู้ว่า ที่เขาเล่าว่านั้น มันจริงไหม เราจะไปเชื่อทำไม หากเราไม่ลอง เอาหน้าพ่อนี่แหละ และแล้ว ในเมื่อเจ้าของหน้าอนุญาต และถูกขะยั้ยขะยอให้ทำที่ปฏิเสธไม่ได้ ก็ยังไม่มีใครกล้าที่จะเป็นคนเอายาใส่ตรงจุดที่เป็นกระเนื้อสองจุดของพ่อ จนกระทั่งลูกสาวเห็นว่า หากพ่อทำเอง อาจจะพลาดเอายาใส่ในลูกกะตาก็จะยุ่งกันใหญ่

แกเลยรับเป็นมือวางอันดับหนึ่ง เป็นคนลงมือทำ โดยใช้ยางของมะม่วงหาว มะนาวโห่ตรงก้าน และตรงใตเปลือกของผล ที่เด็ดหรือถูกเปิดใหม่ๆ บรรจงใส่เข้าไปยังจุดเป้าหมาย สองจุดบนใบหน้าผม เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2560 เวลา 13.49 น.(เป็นการทดลองภาคสนามของจริงจึงต้องจำวันเวลาตกฟากไว้ให้แม่น เพราะเป็นการลงทุนโดยชีวิต) มาถึงเมื่อวานคือวันจันทร์ที่ 29 พฤษภาคม 2560 ปรากฏว่า เนื้อที่เป็นก้อนหลุดออกไป แล้วมีเนื้อหนังใหม่เกิดมาแทนที่อุ่นุ่ม ไม่มีสันไม่เป็นก้อนแข็งเหมือนที่ผ่านมา(ทำให้ดูแล้วหน้าบางขึ้นเยอะ วิธีนี้ อาจจะเหมาะสำหรับ บรรดาคนที่มีปัญหาหน้าหนาอาจจะได้) ผลของการทดลองนี้ ก็จะใช้ในส่วนที่มันปูดมันงงอกที่จุดอื่นๆต่อไป วันนี้ งานทดลองของจริงชิ้นแรกได้ผ่านไปด้วยความสำเร็จดี โดยใช้ทั้งยางของผลมะม่วงหาวมะนาวโห่และยางจากดอกรักครับ

ผลการทดลองนี้ เอาไว้เป็นข้ออ้างอิง เผื่อลูกเผื่อหลาน และกัลญานมิตรทุกท่านในอนาคตครับ

[envira-gallery id=”4641″]

ใส่ความเห็น