ผมคิดและเตรียมตัวมานานแล้วครับ ที่จะขอระบายความรู้สึกที่มันอัดอั้นตันใจ มันคิดอะไรไม่ออก แล้วก็ไม่รู้จะแก้ปัญหาโลกแตกนี้ได้อย่างไร ผมได้คุยและปรึกษากับภรรยาหรือแม่ของลูกผม หรืออาจารย์แม่ว่า ปัญหาหนักอกที่ผมกำลังจะเล่าต่อไปนี้ ผมจะใช้คำว่า “สิ้นไร้ไม้ตอก”จะได้ไหม เธอก็บอกว่า ไม่ควรใช้ เพราะมันเป็นคำที่รุนแรงและเป็นคำที่แสดงให้เห็นว่า มันหมดสภาพที่ไม่สามรรถแก้ไขอะไรได้ หมดที่พึ่ง หมดทางออก ผมก็เลยต่อลองว่า ผมจะใช้คำนี้แหละ แต่กำจัดวงเอาเว่าเป็นบางเรื่องหรือบางช่วงเอาก็แล้วกัน
เรื่องของเรื่องก็คือ เมื่อประมาณสิบกว่าปีที่แล้ว หลังจากที่ผมพาครอบครัวระเหเร่ร่อนไปทำงานอยู่ต่างประเทศกว่ายี่สิบปี น่าจะถึงเวลาแล้วที่ควรจะกลับมาตั้งหลักเสียที จึงตัดสินใจมาหาซื้อที่สักแห่งเล็กๆใกล้ตลาดไท เพื่อจะใช้เป็นฐานการผลิตหัวเชื้อ อาหารเสริมและที่ถ่ายทอดเทคโนโลยีทางด้านเห็ดและการเกษตร แต่เนื่องจากห่างเหินประเทศไทยไปนานและก็ไม่ค่อยจะมีเส้นมีสายหรือรู้จักคนในท้องที่ จึงได้ไปปรึกษากับเจ้าอาวาสวัดทวีการะอนันต์ใกล้ๆตลาดไท ซึ่งท่านมีเมตตาสูงมาก
ท่านได้สอบถามญาติโยมศรัทธาในวัด จนได้ความว่า มีที่อยู่ที่ซอยไอยรา 38 ที่เคยเป็นที่จัดสรรของกลุ่มพนักงานช่างของสายการบินไทย มาจัดเป็นแปลงๆ แปลงละ 3 ไร่ แล้วก็มีเจ้าของที่ท่านหนึ่งมีที่อยู่อยู่ 2 แปลง คือ 6 ไร่กว่านิดหน่อย(ประมาณ 2,500 ตารางวา) เขาต้องการจะขายทั้งสองแปลง ท่านเจ้าอาวาสก็เลยพามาดู พร้อมทั้งสนับสนุนว่า แปลงนี้ดีที่สุด เพราะน้ำท่าอุดมสมบูรณ์ ห่างจากถนนหลักประมาณ 100 เมตรเท่านั้น ที่สำคัญตรงนี้ ถนนสาธารณะกว้างเพียง 8 เมตร จึงเป็นพื้นที่สีเขียว โดยจะไม่อนุญาตให้มีการสร้างโรงงานขนาดใหญ่เด็ดขาด เขาจะขายตารางวาละประมาณ 5,000 บาท ซึ่งเป็นที่น่าจะเหมาะสมสำหรับผมที่จะใช้ชีวิตตอนแก่ที่นี้ โดยพิจารณาเรื่องว่า หากเราจะทำเห็ดหรือทำการเกษตรแล้ว จะต้องมีน้ำอุดมสมบูรณ์ ซึ่งขณะที่ไปดูที่นั้น จะมีลักษณะเป็นร่องสวน มีน้ำเต็มทุกร่องสวนน่าสนใจมาก จึงตกลงซื้อ แล้วก็รีบพัฒนาพื้นที่นี้ทันทีเมื่อปี 2548 ด้วยการว่าจ้างรถแบ๊คโฮขนาดใหญ่มาขุดสระ เพื่อจะเอาดินขึ้นมาถมบางส่วนให้ยกสูงขึ้น ได้พื้นที่ที่สามารถยกสูงขึ้นประมาณสองในสาม ที่เหลือก็เป็นสระน้ำลึกสามบ่อ ใหม่ๆที่มาอยู่ ไม่เคยมีปัญหาเรื่องน้ำเลย เพราะน้ำจากพื้นที่รอบข้างที่ยังไม่มีใครพัฒนามีอยู่มากมาย เมื่อเข้าหน้าแล้ง ก็เพียงแต่เอาสูบๆน้ำจากแปลงด้านข้างเข้ามา ตอนหลังมีการสร้างบ้านเรือนเพิ่มขึ้น น้ำที่เคยดูดจากแปลงรอบข้างก็ไม่มี จึงตัดสินใจเจาะท่อสองนิ้วลอดถนนริมคลองรพีพัฒน์ที่ไม่มีปัญหาน้ำขาดแคลน ต่อท่อเข้ามาใช้ในที่ของผมได้ทุกเมื่อที่ต้องการ ดูเหมือนชีวิตมีความสุขและการงานก็ราบรื่นดี เพราะมีน้ำใช้ทำการเกษตรและเลี้ยงปลาที่เราชอบได้ทั้งปี
จนกระทั่งมาปลายปี 2554 เกิดปัญหาเบื้องลึกของความขัดแย้งทางการเมืองเข้า โดยเอาเรื่องน้ำมาเป็นเครื่องมือ ทำให้น้ำที่ไม่ได้เกิดจากฝนตกในช่วงนั้น แต่เป็นน้ำการเมืองปล่อยให้ท่วมไปทั่วภาคกลาง รวมทั้งที่ผมด้วยโดยท่วมที่สูงเกือบถึงคอ ปลายคาร์ฟขนาดใหญ่หลายตันตายทันทีเมื่อนำเข้าท่วมใหม่ๆ ของเสียหายย่อยยับจมอยู่ในน้ำนับเดือน (โดยได้รับเมตตาจากทางการชดเชยให้ 5,000 บาท) ก็โอเค รับกรรมกันไปทั่วหน้า
ปัญหาเริ่มเกิดขึ้น ตรงที่ถนนเลียบคลองรพีพัฒน์เสียหายอย่างหนัก ต้องมีการทำพนังกั้นน้ำ ด้วยการตอกเสาเข็มเลาะริมฝั่งคลอง โดยผู้รับเหมาสร้างทางไม่ได้สนใจท่อที่เราเจาะลอดไปดูดเอาน้ำมาใช้ ทำให้ช่วงแล้งตั้งแต่ปี 2555 เป็นต้นมา น้ำในสระจะแห้งลงไปมากจนน่าตกใจ บางปีแห้งจนไม่มีน้ำจะใช้รดต้นไม้ ปลาก็เริ่มตาย น้ำจากพื้นที่แปลงข้างๆก็ไม่มี แถมในซอยนี้ ที่ทางเทศบาลท่าโขลงยืนยันนั่งยันว่า เป็นพื้นที่สีเขียวไม่อนุญาตให้สร้างโรงงานขนาดใหญ่ได้ ถนนก็เป็นลูกรังขรุขระ วันดีคืนดี เมื่อปีที่แล้ว นักธุรกิจจีน มาสร้างห้องเย็นขนาดใหญ่ ที่จะต้องเอารถเทลเลอร์ขนาด 18 ล้อ ขนคอนเทนเนอร์ห้องเย็นมาวันละหลายสิบตู้ ถนนพังเสียหาย หน้าฝนถนนก็เป็นหลุมเป็นบ่อ หน้าแล้งก็ฝุ่นคลุคลุ้งไปหมด น้ำก็ไม่มีที่จะรดถนน พอไปถามทางเจ้าหน้าที่ที่ดูแลการอนุมัติการสร้างโรงงานว่า อนุมัติให้เขาสร้างโรงงานในพื้นที่นี้ได้อย่างไร คำตอบก็คือ “มีโรงงานขนาดใหญ่เหรอ” ทั้งๆที่ซอยนี้แคบ ทางระบายน้ำก็ไม่มี ไม่มีระบบกำจัดน้ำเสียเลย ก็โอเค เราก็ต้องฝืนอยู่ไป
ปัญหาโลกแตกของผมมันอยู่ที่น้ำครับ ผมไม่รู้จะแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำอย่างไร เพราะเจอแล้งมาหลายปี มันบั่นทอนจิตใจ มันหดหู่ห่อเหี่ยว ที่เห็นต้นไม้ยืนตาย เห็นปลาลอยคอประหนึ่งว่า มันกำลังขอชีวิต ครั้นจะไปหาจ้างใครมาเจาะน้ำผ่านคลองรพีพัฒน์อีก เราก็ไม่รู้จักใคร รู้แต่ว่า คนที่เคยเจาะท่อข้ามถนนนั้นท่านเสียชีวิตไปแล้ว พยายามถามคนย่านนั้น ก็ไม่มีใครทำการเกษตรที่ต้องการใช้น้ำอย่างผม ส่วนที่ทำนาเขามีท่อลอดถนนขนาดใหญ่อยู่ก่อนแล้ว ผลสุดท้ายไม่มีทางออก ก็ต้องอาศัยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ครับ
ผมไปนั่งอยู่หน้าศาลพระพิฒเนศ ที่หลวงพ่อ เจ้าอาวาสวัดทวีการะอนันต์ มาชี้จุดและส่งพราหมณ์มาทำพิธีให้ แล้วก็นั่งคุยกับพระพิฆเนศ (นี่ไม่ทราบว่า บ้าหรือไม่)ว่า ผมเข้าตาจนมาหลายปีแล้วนะ พอเจอแล้งทีไร น้ำแห้งขอดทุกปี แล้วจะให้ผมมีชีวิตหดหู่อย่างนี้ได้อย่างไร หลวงพ่อที่แนะนำให้ผมอัญเชิญท่านมาประดิษฐาน ณ ที่ตรงนี้ บอกผมว่า หากผมมีอะไรทุกใจก็มาขอพรจากท่าน คราวนี้ ขอให้ช่วยผมหน่อยเถอะ(ผมไม่ได้ขอให้พระพิฆเนศไปขุดท่อส่งน้ำให้ผมนะ) ขอให้ช่วยนำพาผมไปหาคนมาช่วยขุดเจาะเอาน้ำจากคลองรพีพัฒน์ให้เจอเถอะ
ในวันรุ่งขึ้นหลังจากได้บ่น ได้คุยกับพระพิฆเนศแล้ว (ผมมั่นใจว่า คุยกันรู้เรื่องแน่ๆ) ผมก็ชวนอาจารย์แม่ ออกไปหาคนมาช่วยเจาะท่อลอดคลองรพีพัฒน์ให้ได้ ไปคลองสองก็แล้ว คลองสามก็แล้ว เลยไปถึงคลองเก้า ได้รับคำตอบเดียวกันว่า คนที่เคยทำแก่แล้ว และก็ตายไปแล้ว(พูดง่ายๆก็คือ อายุมากแล้วตายไปแล้ว ผมคงจะยังไม่ตามไปแน่ๆ) ปรากฏว่าล้มเหลว ไม่มีทีท่าว่าจะเป็นไปได้ แต่ผมก็ปลอบใจตัวเองว่า ได้คุยกับพระพิฒเนศแล้ว หลวงพ่อวัดทวีการะอนันต์ ที่ท่านเป็นเกจิชื่อดังในย่านนั้น ก่อนที่ท่านมรณภาพไปท่านก็ยังย้ำกับผมไปว่า หากมีปัญหาใด ก็ขอให้บอกพระพิฒเนศ ผมเลยคุยกับอาจารย์แม่ว่า ต้องได้ผลแน่ๆ เพราะการที่เรามาตามหาคนเจาะท่อลอดถนนเลียบคลองรพีพัฒน์นั้นมันเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องที่จะต้องเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราไปในทางที่ดี อะไรก็ช่างที่เป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตผม มันต้องเจออุปสรรคอย่างใหญ่หลวงเสียก่อน แล้วจึงจะเจอ
อีกวันต่อมา ผมก็พาอาจารย์แม่ออกตะเวนหาคนขุดเจาะท่อลอดถนนอีก คราวนี้ไปไม่ไกลครับ ไปแค่คลองสี่นี่เอง ไปถามบ้านหลังหนึ่งที่เขาเอาปุ๋ยหมักใส่ถุงกองไว้หน้าบ้าน แล้วมีป้ายเก่าๆเขียนบอกว่า เป็นศูนย์เรียนรู้ทางด้านการเกษตร พอขับรถเข้าไปจอดในบ้าน หมานับสิบออกมาต้อนรับ จึงไม่กล้าลง เจ้าของบ้านที่เป็นผู้หญิงออกมา ก็เลยถามว่า เคยทราบไหมว่า แถวนี้ มีใครรับเจาะท่อน้ำลอดถนนบ้าง คำตอบคือ ไม่รู้ ขอให้ไปถามร้านค้าข้างบ้านดู
ผมจึงรีบมาบอกอาจารย์แม่ว่า เจออีกปัญหาหนึ่งแล้วล่ะ คือ ปัญหาว่า เขาไม่รู้ แต่เขาก็ยังบอกให้ลองไปถามข้างบ้านดู ก็ขับรถขยับไปอีกบ้านหนึ่ง ซึ่งเป็นร้านค้าเล็ก ไปถามแม่ค้าด้วยคำถามเดียวกัน แกก็ตอบเช่นเดียวกัน แต่ดีกว่ารายแรกตรงที่แกบอกว่าไม่รู้ แต่เดี๋ยวลองถามลุงอีกคนดู แกก็ตะโกนเรียกลุงคนหนึ่งมา เข้าใจว่าอายุอานามก็รุ่นราวคราวเดียวผม หรืออ่อนกว่า ผมเลยเรียกลุงไว้ก่อน(เพื่อจะดูว่า เรายังหนุ่มอยู่) ลุงคนนี้ชื่อ สมพงษ์ แกบอกว่าเคยมีน๊ะ แต่มันนานมาแล้ว อยู่แถวหนองเสือ แกไม่ได้ติดต่อมานานแล้ว เดี๋ยวแกจะลองหาที่อยู่ดู โดยจะถามลูกบ้านแถวนั้นดู เพราะแกเป็นกรรมการวัด(ทราบภายหลังว่า แกเป็นผู้ใหญ่บ้านที่กว้างขวางพอสมควร ชาวบ้านเรียกผู้ใหญ่นะ) แกจึงขอเบอร์ผมไว้ว่า หากแกสามารถติดต่อคนทำได้ จะรีบติดต่อผมมา ช่วงที่ผมกำลังกรอกข้าวฟ่างอยู่สองคนกับอาจารย์แม่(กรอกคนละ ประมาณ 3,000 ขวดต่อวัน) ก็ได้รับโทรศัพท์จากคุณลุงสมพงษ์บอกว่า เจอคนเจาะท่อลอดถนนได้แล้ว เดี๋ยวเขาจะโทรมาคุย จากนั้นไม่นานคนรับเจาะท่อลอดถนน ที่ชื่อ ลุงสมปองก็โทรมา และบอกว่า แกทำให้ได้และจะมาพบทันที พอแกมาพบผมก็คิดในใจว่า หากแกจะเรียกสักแสนสองแสนก็โอเคทันที ลุงสมปองมาเจอผม บอกว่า ปกติจะไม่รับเจาะรายเล็กๆเช่นนี้ แต่นี่ผู้ใหญ่ขอร้องว่า ให้มาช่วยอาจารย์เขาหน่อย ดังนั้นแกจึงจะช่วย โดยขอค่าแรง 18,000 บาท(หนึ่งหมื่นแปดพันบาท ขณะที่ผมเตรียมไว้สองแสน)แล้วค่าวางท่อ และติดตั้งสูบจนดูดน้ำมาใช้ได้อีก 2,000 บาท โดยให้ผมจัดหาท่อแล้วอุปกรณ์ให้พร้อม อีกวันรุ่งขึ้น ลุงสมปองก็มาพร้อมทีมงานและรถแบ๊คโฮขนาดใหญ่ มาถึงก็เจาะเอาๆเอา ใช้เวลาเจาะท่อรอดถนนจริงๆไม่ถึงสองชั่วโมง เฉพาะเจาะท่อนำร่องเพื่อเอาสลิงลอดนั้นใช้เวลาไม่ถึง 20 นาทีครับ
ครับปัญหาที่หนักอึ้งในหัวใจผมมาเกือบห้าปี ชนิดที่เรียกว่า “สิ้นไร้ไม้ตอก”กรณีเกี่ยวกับน้ำ ได้รับการแก้ไขเรียบร้อยแล้ว จากนี้ไป ปัญหาอันเป็นสิ่งบั่นทอนสภาพจิตใจผมในเรื่องนี้ ได้สิ้นสุดแล้ว(สังเกตไหมครับ ช่วงเข้าฤดูแล้วง ผมไม่ได้จัดกิจกรรมอันใดเลย ที่จะเชิญใครต่อใครมาพบปะสังสรรค์เหมือนในอดีต รวมทั้งการอบรมก็เลื่อนแล้วเลื่อนอีก ก็เกิดจากเรื่องน้ำนี่แหละ จากนี้ไปทุกอย่างจะกลับมีชีวิตชีวาใหม่แน่นอนครับ
หลังจากที่คุณลุงสมปอง ทำการเจาะวางท่อลอดถนนเลียบคลองรพีพัฒน์แล้ว โดยยืนยันว่า การเจาะลักษณะนี้ ไม่ได้ทำให้ถนนของชลประทานเสียหาย ไม่ต้องขออนุญาต แกเจาะมาตั้งแต่คลองยี่สิบกว่าจนมาถึงคลองที่ผมอยู่มาเยอะแล้ว สุดท้าย พอสนิทกันแล้วถามว่า ลุงๆ แล้วลุงตอนนี้อายุเจ็ดสิบเท่าไหร่ล่ะ แกบอก ผมเพิ่งหกสิบเอง ขณะที่ผมเองเรียกแกว่าลุง อายุก็ปาไป หกสิบสี่แล้ว 55555
พอรู้ว่า อีกวันรุ่งขึ้น จะมีการมาเจาะท่อลอดถนนให้ ผมจึงเอารถแบ๊คโฮเล็กขุดร่องสำหรับวางท่อเตรียมไว้ก่อน ทั้งที่สัญญาจะจ่ายค่าขุดวางท่อให้แก่ลุงสมปองไปแล้ว แล้วโปรดสังเกต รถบรรทุกคอนเทนเนอร์ขนาดใหญ่จากประเทศจีน เพื่อนำสินค้าเข้าไปยังห้องเย็นขนาดใหญ่ ที่ไม่ทราบว่า เจ้าหน้าที่เทศบาลท่าโขลงอนุญาตได้อย่างไร ทั้งๆที่เป็นพื้นที่สีเขียว ขนาดรถเข้าซอยกินพื้นที่ที่รถไม่สามารถสวนทางกันได้เลย ต้องมาอาศัยหน้าบ้านผมเป็นที่สวนกัน