คำถามเกี่ยวกับไตวายเรื้อรัง

on Fri Dec 03, 2010 2:09 pm

เรียน ท่านอาจารย์ อานนท์ ที่นับถือ

 มีญาติของผมแกเป็นไตวาย ด้องล้างไต ทุกวันจันทร์ พุธ และ ศุกร์ แพทย์ให้ทานโปรตีนจากปลา และไข่ไก่ขาว เนื่อง
จากระดับโปรตีนในร่างกายต่ำมาก แต่ปัจจุบันอาการไม่ดีขึ้น ร่างกายอ่อนแอลงโดยตลอด

ผมไปเยี่ยมแกมา และได้นึกถึงเรื่องเอ็นไซม์จากเห็ดของอาจารย์อานนท์ตามที่ได้ติดตามอ่าน ได้รับปากกับแกไว้ว่าจะ
รบกวนสอบถามอาจารย์ให้ (ผมหารายละเอียดย้อนหลังไปแล้ว ไม่ค่อยพบที่เกียวกับไตวาย) จึงได้เรียนมาเพื่อโปรด
อธิบายและแนะนำเกี่ยวกับการใช้เอ็นไซม์ดังกล่าวด้วยครับ

ผมเองก็ความดันโลหิตสูง โคเลสเตอรอลสูง ต้องทานยามาหลายปีแล้ว

ขอบพระคุณอย่างสูงครับ
อุณพุทธ
                เรื่องของโรคตวาย กลายเป็นโรคที่คนไทยเป็นกันเยอะมาก เนื่องจาก การที่ไตของเราทำงานหนักเกินไป เพราะเราทานอาหารที่เป็นพิษเข้าไปเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นสารพิษจากอาหารโดยตรง และพิษจากยาฆ่าแมลง สารเร่งต่างๆ รวมทั้งผงชูรส ด้วย ทำให้ไตต้องทำหน้าที่หนัก ในการที่จะกรองและกำจัดของเสียออกจากร่างกาย ดังนั้น การที่ไตทำงานหนักนั้น มิได้หมายความว่า ไตจะวายง่ายๆ จริงๆแล้ว เมื่อไตทำงานหนัก มันจะอักเสบ ประสิทธิในการขับของเสียจะน้อยลง แล้วการที่จะวัดว่าไตมีปัญหา ก็ต่อเมื่ออาการของไตเสื่อมไปกว่า 70%แล้ว ดังนั้นการที่มีการรักษาโรคไตในปัจจุบัน ก็คือ ทำการป้องกันการอักเสบ แล้วทำการล้างไต เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระการทำงานของไตลง อย่างไรก็ตาม การรักษาการอักเสบของไต รวมทั้งกรวยไตนั้น ยาส่วนใหญ่มักจะมีผลข้างเคียง และเป็นการบรรเทา อาการเท่านั้น ดังนั้น การรักษาโรคเกี่ยวกับไตระยะยาวนั้น ควรหาวิธีการรักษาการอักเสบของไตให้ได้  ซึ่งจากประสบการณ์ของผมนั้น ผมมักจะแนะนำให้ผู้ป่วยโรคไต ทำการรักษาโรคไตด้วยการใช้เห็ดผสม เช่น เห็ดกระดุมบราซิล เห็ดหิ้งไซบีเรีย เห็ดฮุนชิ เห็ดหลินจือ โดยจะใช้ทุกส่วนของเห็ด นั่นก็หมายความว่า ใช้ทั้งเส้นใย ดอกเห็ด และสปอร์ของเห็ดผสมกัน สำหรับเอ็นไซม์ก็มีส่วนช่วยทำให้สารอาหารและสารที่มีคุณสมบัติทางยาของเห็ด จะออกฤทธิ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และจะช่วยแบ่งเบาภาระของกรวยไต  ไม่ให้ต้องสารเอ็นไซม์มากเกินไป อย่าลืมว่า กว่าเราจะรู้ว่า เรามีปัญหาเกี่ยวกับไต ก็ต่อเมื่อไตเสื่อมไปมากกว่า 70%แล้ว
                ดังนั้น การรักษาอาการอักเสบของไตนั้น อาจจะต้องใช้เวลา และจะต้องควบคู่ไปกับการควบคุมไม่ทานอาหารที่มีสารพิษ ผงชูรส ยาฆ่าแมง และควรทานอาหารโปรตีนที่มาจากพืช เช่น ถั่วต่างๆ เห็ดที่เพาะได้ทุกชนิด (ยกเว้น เห็ดที่ใช้ยาฆ่าแมลง เช่น เห็ดหูหนู ที่ใช้สารฟูราดาน หรือดูราแทร์ใส่เพื่อป้องกันไรไข่ปลา ผู้บริโภค ก็จะได้สารพิษจากฟูราดาน ที่เป็นพิษร้ายแรงต่อมนุษยืสูงมาก)
                ส่วนเรื่องของเอ็นไซม์   เนื่องจากเชื้อจุลินทรีย์หลายชนิด สามารถสร้างเอ็นไซม์ได้ในปริมาณที่มาก และระยะเวลาอันสั้น เคยพูดไปแล้วว่า ขบวนการผลิตเอ็นไซม์ที่ใช้กันมากที่สุด ด้วยกรรมวิธีที่ไม่ยุ่งยากนัก ก็คือ การหมัก ดังนั้น การเอา เห็ดหลินจือ หรือเห็ดอะไรก็แล้วแต่ไปทำการหมัก เชื้อจุลินทรีย์ที่อยู่ในน้ำหมัก จะไปย่อยอาหารและสารเป็นยาออกมาให้อยู่ในขนาดที่เล็กลง และร่างกายมนุษย์สามารถนำเอาใช้ได้ดีกว่า การหมักโดยทั่วไป ปกติจะดีกว่าการนำเอาอาหารหรือเห็ดเป็นยาไปต้ม เพราะการต้ม ความร้อนมักจะไปทำลายสารที่มีประโยชน์หลายชนิด แต่การหมัก ก็ต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง เพราะเชื้อจุลินทรีย์ที่มีอยู่ตามธรรมชาตินั้น มีทั้งเชื้อที่เป็นประโยชน์และเชื้อที่สร้างสารที่เป็นพิษต่อผู้บริโภค เช่น เชื้อโรคที่ทำให้เกิดโรคท้องร่วงอย่างรวดเร็ว เช่นพวก Staphylococcus aureus, Clostidium botulinum ที่มักจะมีข่าวเป็นประจำว่า มีการทานอาหารประเภทหมักดองเข้าไป แล้วเกิดอาการโรคท้องร่วงอย่างรุนแรง บางอย่างถึงกับเสียชีวิตได้ ดังนั้น การหมักทั่วๆไป อาจจะเกิดอัตราการเสี่ยงสูง แต่หากทำการหมัก  เพื่อทำให้เกิดอาหารที่เหมาะสมเฉพาะ หรือที่เรียกว่า Selective fermentation ด้วยการใส่น้ำตาลหรือเกลือแกงเข้าไปในวัสดุที่หมัก  ให้มีประมาณความเข้มข้นเกินกว่าจุลินทรีย์ที่เป็นโทษเจริญได้ เช่น หมักด้วยเกลือหรือน้ำตาลที่ระดับความเข้มข้นเกิน 18% เป็นต้น หรืออาจจะหมักด้วยการใช้เชื้อจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ ที่สามารถนำมาใช้หมักอาหาร และไม่มีอันตรายต่อผู้บริโภค เช่น การหมักด้วยการใช้เชื้อยูเอ็ม ซึ่งเป็นเชื้อที่มีจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์และสามารถสร้างเอ็นไซม์ที่ร่างกายมนุษย์ต้องการ โดยมีเชื้อจุลินทรีย์หลักอยู่ 5 ชนิด ที่อยู่ด้วยกัน และร่วมกันทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น ในที่นี้ จึงอยากแนะนำให้ทำการหมักเห็ด หรืออาหารที่จะทำการหมัก  ด้วยการใช้เชื้อจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์จะปลอดภัยมากกว่า
ดร.อานนท์ เอื้อตระกูล

ใส่ความเห็น