การหมักเห็ดเป็นยา โรคเบาหวานและแพ้อากาศของเด็ก กรดไหลย้อน และ SLE
หน้าแรก / ฟอรั่ม / สุขภาพ / Testimony เคสผู้ใช้เห็ดเป็นยา / การหมักเห็ดเป็นยา โรคเบาหวานและแพ้อากาศของเด็ก กรดไหลย้อน และ SLE
- This topic has 5 ข้อความตอบกลับ, 1 เสียง, and was last updated 5 years, 4 months มาแล้ว by
Sorachai Sahabunyakool.
- ผู้เขียนข้อความ
- มิถุนายน 21, 2017 at 12:40 am #5018
สอบถามการหมักครับ
tangthongkul on Wed Oct 09, 2013 9:41 pm
เรียน อ.อานนท์ และคุณไผ่
ผมนายรัชพล สมาชิก P112-1 ขอสอบถามปัญหาเกี่ยวกับน้ำหมักเห็ดเป็นยาครับ
ก่อนอบรมเห็ดถุงที่ผ่านมา ผมได้เข้าอบรมระยะสั้นที่งานเมืองทอง และได้ซื้อum55มาทดหมักเห็ดเป็นยาโดยใช้เห็ดนางฟ้า หอม หูหนู เข็มทองหมักประมาณ 1 ลิตร ตอนนี้ทานน้ำหมักใกล้หมดแล้วครับ แต่ยังมีเนื้อเห็ดที่ยังสลายไม่หมดเหลืออยู่เราสามารถเติมน้ำผสมน้ำตาลและum ลงไปได้ใหม่โดยใช้เนื้อเห็ดเดิม หรือต้องทำใหม่ทั้งหมดครับถ้าต้องการสรรพคุณทางยา มีแผ่นฝ้าขาวๆบางๆ ลอยอยู่ที่ผิวนั่นคือ SRC หรือเปล่าครับ
ขอบคุณครับ- tangthongkul
หมักเห็ดหลายอย่างและทานไปเกือบหมดแล้ว ถามว่า จะนำมาหมักใหม่ได้หรือไม่
มิถุนายน 21, 2017 at 12:42 am #5020Pai_Anonworld on Thu Oct 10, 2013 7:30 am
ขอแสดงความยินดีกับคุณรัชพลครับ ที่ได้ไปฟังบรรยายที่งานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติแล้ว นำเอาความรู้ที่ได้รับเอาไปทำ ถือว่า สุดยอดเลยครับ และฝ้าที่เห็นเป็นสีขาวเกิดขึ้น นั่นแหละครับ คือ ครีมมหาอมตะ หรือ Super Royal Cream(SRC) ที่มีประโยชน์สูงสุด เหมือนกับนมผึ้ง หรืออาหารราชาของพญาปลวก ทานก็ได้ จะมีสารอาหารและเอ็นไซม์สูงสุด และตรงครีมนี่เอง ที่เป็นจุดรวมของเชื้อโปรไบโอติกมากที่สุด และหากคุณนำมาผสมกับครีมทาผิว ทาหน้า หรือแชมพูประมาณ 5-10 % จะกลายเป็นครีมบำรุงผิว ป้องกันแสงอุลตราไวโอเลต บำรุงเส้นผมได้อย่างสุดยอดเหลือเชื่อ คำถามที่ว่า ตอนนี้ ใช้เห็ดหลายอย่างทำการหมักด้วยน้ำตาลและเชื้อยูเอ็ม55 และก็ทานน้ำเอ็นไซม์สกัดไปเกือบหมดแล้ว แต่ยังมีกากดอกเห็ดที่ยังเห็ดว่า มันยังย่อยสลายไม่หมดนั้น สามารถใช้เป็นวัตถุดิบทำการเริ่มต้นหมักใหม่ได้ไหม ได้ครับ แต่สารอาหาร โดยเฉพาะ คุณสมบัติทางยาก็จะน้อยลง เนื่องจาก สารอาหารทางยาในเห็ดที่สำคัญ จะถูกสกัดออกไปมากแล้ว เศษดอกที่เหลือ ก็แค่เป็น “โครงสร้างของมัน”เท่านั้น อยากจะแนะนำว่า หากยังเสียดายอยู่ ก็สามารถใช้หมักไปได้อีกสักครั้งก็พอ แต่อยากแนะนำว่า หากเป็นไปได้ เอากากที่ยังเห็นเป็นดอกเห็ดดีๆอยู่นี้ เอาไปเป็นส่วนประกอบอาหาร เช่น ยำ ต้ม หรือผัดไปเลยจะดีกว่า ทีนี้ อยากจะถามคุณบ้าง เพราะ ปกติ ดร.อานนท์ ไปบรรยายเรื่อง เห็ดเป็นยาที่ไหน คนฟังก็เต็มห้องไปหมด และก็มีมากมายหลายท่าน ได้เอาความรู้ที่ได้รับรู้รับฟังจาก ดร.อานนท์ไปทำหรือปฏิบัติ แล้วก็ทานกันไม่น้อยทีเดียว แต่ก็แทบจะไม่มีเลย หรือ มีน้อยมาก ที่จะมีใครนำเอาความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับมาแบ่งปันกัน ดังนั้น หากเป็นไปได้ อยากจะให้คุณรัชพล ช่วยเล่าถึงประสบการณ์ให้ฟังหน่อยว่า ทำไมคุณถึงเอาเห็ดไปหมัก เพื่ออะไร เมื่อทานเข้าไปแล้ว สังเกตถึงความเปลี่ยนแปลงของร่างกายเป็นไงบ้าง เช่น การนอนหลับ การขับถ่าย อาการหลังจากตื่นนอน อาการกรดไหลย้อน อาการท้องอืด ความคล่องตัวในการเคลื่อนไหว ผิวพรรณ และเส้นผม หรือ หากเป็นโรค เช่น โรคความดัน โรคหัวใจ โรคเ้กาท์ รวมไปถึง การแพ้อากาศ อะไรพวกนี้ เพื่อจะได้เป็นวิทยาทานให้สมาชิกอีกจำนวนมาก ที่ไม่ค่อยแน่ใจ บางคนก็กล้าๆกลัวๆ ดูอย่างคุณปรีชา โชติกลาง เจ้าของฟาร์มเห้ดปทุม ที่แกเคยมีปัญหาเรื่องกรดไหลย้อน นอนไม่ค่อยหลับ แต่พอแกทานเอ็นไซม์ที่ได้จากการหมักเห็ดเข้าไป อาการกรดไหลย้อนหายเป็นปกติ ไม่ต้องทานยาเป็นประจำดังเดิมอีกต่อไป และคุณปรีชา ก็ได้ให้ภรรยาที่มีปัญหาระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องโดยไม่ทราบสาเหตุ ก็ดีขึ้น (ในส่วนนี้ คงจะต้องให้คุณปรีชาเสริมรายละเอียดต่อ) จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะได้รับข้อมูลดีๆจากคุณรัชพลPai_Anonworld
มิถุนายน 21, 2017 at 12:44 am #5021tangthongkul on Thu Oct 10, 2013 4:45 pm
ขอบคุณครับอาจารย์ และคุณไผ่ที่ช่วยตอบคำถาม
ตอนนี้ผมได้ลงชื่อจองเรียน อบรมเห็ดเป็นยาในวันที่ 14-15 แล้วครับ
SRC ผมลองเอามาผสมครีมทาผิวแล้วครับ ลองผสมดูแล้วแยกใส่กระปุกเล็กๆเก็บไว้ในตู้เย็น แต่ยังมีปัญหาเรื่องกลิ่นอยู่ครับกลิ่นเปรี่ยวๆ สงสัยใส่เยอะไปหรืออาจารย์มีวิธีแก้ยังไงครับเรื่องของกลิ่น
ส่วนที่ผมสนใจเห็ดเป็นยา เพราะทางครอบครัวผมและของภรรยา เป็นเบาหวานกันหลายคนครับ ส่วนลูกๆ หลานๆตอนนี้ยังไม่แสดงอาการเบาหวาน (ลองเช็คน้ำตาลดูปกติทุกคน) แต่เด็กๆเป็นภูมิแพ้กันครับทั้งน้ำมูก ทั้งขอบตาช้ำ ไอเป็นหวัดกันบ่อยมาก ลูกผมตอนอยู่อนุบาลเรียกว่าเรียนอาทิตย์หยุดอาทิตย์เลย ค่ายาแพงกว่าค่าเทอมอีก ส่วนตัวผมเป็นเบาหวานมาประมาณ 5 ปีแล้ว ฉี่แล้วมีมดขึ้น เลยไปตรวจสุขภาพเจอ เบาหวาน 300 กว่า ไตกรีเซอร์ไร 700 กว่า (หมอแซวว่าจะรีบไปไหน อายุ 33 เอง) หลังจากนั้นก็ทานมาฝรั่งมาตลอด ค่าเบาหวานก็อยู่ประมาณ 140-180 พอลองหยุดยาดูซักเดือน โดดไป 300 กว่า หมอบอกว่ารักษาไม่หาย กินยาไปเรื่อยๆ ผมก็เลยถามว่าไม่เป็นอันตรายกับตับหรือ แกบอก อยากตายเร็วหรือตายช้า…… (ผมหาแบบใช้ประกันสังคม เลยเจอหมอแบบเห็นใจคนไข้มากๆๆๆๆ) จนมาเจอเว็บของอาจารย์ก็เห็นแสงสว่างเล็กๆขึ้น เราจะตายช้าหรือตายแบบธรรมชาติดี ลองครับไม่ลองไม่รู้ อย่างน้อยเรารักษาได้โดยไม่่ต้องกินยาฝรั่งให้มันเป็นโรคตับโรคไตแถมไปอีก
ส่วนความเปลี่ยนแปลงหลังจากทานน้ำหมักไป ถ้าในส่วนค่าเบาหวานยังไม่เห็นผลครับ แต่เรื่องภูมิแพ้ของลูก ลูกชาย 10 ขวบ ลูกสาว 5 ขวบ หลังจากทานไปซักระยะ ทั้งสองคนมีน้ำมูกไหล ไอแบบขับเสมหะ แต่ไม่เจ็บคอ ไม่มีการอักเสบ น้ำมูกไม่เขียวเหมือนเมื่อก่อน ประมาณ 3 วันอาการก็หายไปครับ ยังไงเดียวผมจะเก็บข้อมูลต่อไปครับ
ถ้าเบาหวานประมาณ 400 ฉี่บ่อยมากชั่วโมงละครั้ง แต่ทางน้ำก็มากครับ ตอนกลางคืนมีอาการเป็นตะคริวน่องเกี่ยวกับการเสียเกลือแร่หรือเปล่าครับขอบคุณครับtangthongkul
มิถุนายน 21, 2017 at 12:45 am #5022Pai_Anonworld on Fri Oct 11, 2013 8:01 am
ต้องขอขอบคุณอย่างสูงครับที่มาเล่าประสบการณ์ต่างๆให้ฟัง เพราะจะได้เป็นวิทยาทานต่อผู้สนใจท่านอื่น อยากให้มีลักษณะเช่นนี้เยอะๆ จะเป็นประโยชน์ต่อวงการเห็ดเป็นยาไทยไม่น้อยทีเดียว นอกจากนี้ การที่คุณได้เล่าอาการเช่นนี้มา ดร.อานนท์ รวมทั้งผู้ที่มีประสบการณ์ทั้งหลาย อาจจะมีองค์ความรู้เสริมเข้าไปอีก ก็จะเป็นการช่วยกันแสดงความคิดเห็น ส่วนคำถามที่ถามมาเรื่องของ SRC นั้น แน่นอนครับ เนื่องจากครีมดังกล่าว เป็นผลมาจากขบวนการหมัก ลักษณะเฉพาะของมัน คือ จะมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวที่ไม่พึงประสงค์ติดมาด้วย หากเป็นการผสมเพื่อใช้เอง ก็คงจำเป็นต้องเข้าใจและยอมรับ ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ธรรมชาติของแท้ แต่หากทำเป็นธุรกิจ เขาจะต้องกำจัดเอากลิ่นไม่พึงประสงค์ออก ด้วยการนำไปผ่านขบวนการกรองด้วยถ่านไม้ไผ่หรือถ่านกะลามะพร้าว (Activated carbon) เช่น ถ่านผงที่ใช้ในหม้อกรองน้ำก็ได้ โดยใส่ถ่านเข้าไปประมาณ 20-30% โดยปริมาตร แล้วคนให้เข้ากันทิ้งไว้สัก 10-15 นาที จึงทำการกรองเอาแต่น้ำออกมาผสมเข้าไปในเครื่องสำอาง แต่ก่อนผสม ควรปรับสภาพจากกรดให้เป็นกลางเสียก่อน จะทำให้กลิ่นจางลง และความเป็นกรดก็จะน้อยลงครับส่วนกรณีของคุณที่เป็น เบาหวาน นั้น ค่าของเบาหวานและไตรกลีเซอรไรด์ก็ไม่ต่างจากคนในครอบครัวเอื้อตระกูล ที่กรรมพันธุ์เป็นเบาหวานครับ ดังนั้น อยากจะแนะนำว่า ให้ทานเอ็นไซม์เข้าไปอย่างสม่ำเสมอ ดังที่ได้กล่าวแล้วว่า เอ็นไซม์จะสูงที่สุด ก็ตอนที่ทำการหมักใหม่ๆ ดังนั้น ของคุณควรทานเอ็นไซม์เข้าไปทุกครั้งๆละครึ่งช้อนชา(ผสมน้ำเยอะๆ)ก่อนทานอาหารครึ่งชั่วโมง และอาการที่เบาหวานเยอะเช่นนี้ เห็ดเป็นยาจะเอาไม่อยู่ ควรทานใบ ก้านและรากเชียงดา ซึ่งเป็นพืชมหัศจรรย์ที่ช่วยลดน้ำตาลในเลือดโดยตรง โดยไม่มีพิษมีภัย ดีกว่ากินยา ต่างประเทศเขาเรียกต้นเชียงตาว่า Sugar killer เพราะมันทำลายน้ำตาลในเลือดได้โดยตรง แต่อย่าลืมว่า ก่อนเอาเชียงดามาใช้ ควรหมักด้วยเอ็นไซม์เห้ดสัก 12 ชั่วโมง หรือข้ามคืน ด้วยการเอาทั้งใบ ต้นและราก มาหั่นฝอย แล้วเอาน้ำหมักเอ็นไวม์ที่คุณทำพรมเข้าไปพอชื้น ห่อด้วยผ้าขาวบางไว้สักคืนหนึ่ง ก็นำเอาบดหรือปั่นทาน หรือ เอาไปผึ่งแดดให้แห้ง เก็บไว้ชงกับน้ำทาน จะช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้เป็นอย่างดี โดยไม่จำเป็นต้องใช้ยา แล้วนั่นแหละคุณหมอจะเปลี่ยนใจว่า คุณจะมีชีวิตอยู่อย่างไร้ปัญหาของเบาหวาน แต่ก็ต้องทานร่วมไปกับเอ็นไซม์เห็ดด้วย เพราะเอ็นไซม์เห็ดสกัด จะไปช่วยรักษาตับอ่อนและไตให้ทำงานได้ดีขึ้น
ดีใจครับ ที่คุณได้ใช้เอ็นไซม์เห็ดสกัดให้ลูกซึ่งแพ้อากาศ เพราะไม่ใช่เพียงแต่ลูกของคุณเท่านั้น เด็กๆที่อยู่ในกรุงเทพ โดยเฉพาะลูกคนมีอันจะกินทั้งหลาย ที่เลี้ยงลูกอยู่ในห้องแอร์ตลอดเวลา มักจะมีปัญหาเรื่องระบบหายใจแทบทั้งสิ้น เพราะ การอยู่ในห้องปรับอากาศเป็นเวลานานๆ ไม่เป็นการดีเลย เพราะเป็นการหายใจเอาอากาศเสียเดิมๆของเราเข้าไปซ้ำๆซากๆ ไม่เชื่อ คุณลองจุดธูปสักดอกในห้องแอร์ หรือให้ใครสักคนดูดบุหรี่ในห้องแอร์ดูสิ ไม่กี่นาทีเท่านั้น ควันพิษจะเต็มห้องไปหมด ดังนั้น การหายใจออกมา เอาอากาศเสียออกมา แล้วไม่รู้จะไปทางไหน ก็จะวนเวียนอยู่ในห้องเท่านั้น คนที่อยู่ในห้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กๆ มักจะมีปัญหา เกี่ยวกับระบบหายใจ แล้วรักษายากมาก ดีแล้วครับ ที่คุณให้เขาทานเอ็นไซม์เห็ดเข้าไป เพราะ มันจะไปเสริมภูมิ แก้อักเสบได้โดยตรง ดังจะเห็นจากอาการของน้ำมูกของลูกที่คุณได้กล่าวมานั้น ดร.อานนท์ ฝากเสริมมา ในฐานะที่เคยช่วยเด็กๆให้ทุเลาจากโรคภูมิแพ้หรือระบบหายใจบกพร่องว่า ให้เด็กพยายามใช้ผ้าปิดจมูก เพื่อกรองฝุ่นละอองเข้าไป จะช่วยให้อาการภูมิแพ้ลดลง แต่หากเด็กไม่สะดวก ที่จะใช้ผ้าปิดจมูก ก็ควรใช้มุ้งที่ทำจากผ้าขาวบาง มุ้งไนลอนไม่ได้ผล ใช้มุ้งครอบให้เด็กนอน แม้ว่า ในห้องนอน จะเป็นห้องปรับอากาศ ที่ไม่มียุงมาไต่ตอมก็ตาม เพราะมุ้งผ้าขาวบาง จะมีไฟฟ้าสถิตย์อยู่ มันจะดูดฝุ่นละอองในบรรยากาศ รวมทั้งสปอร์ของจุลินทรีย์ อันเป็นบ่อเกิดที่ทำให้ร่างกายหลั่งสารฮีสตามิน แล้วเกิดอาการขี้มูกไหลได้อย่างดี ขอสนับสนุนให้เด็กทานเอ็นไซม์เห็ดไปตลอด หากแกไม่ชอบ รส กลิ่น สี ก็เอาผสมน้ำผลไม้ที่อร่อยๆให้แกทานเอาครับ ขอให้มีสุขภาพแข็งแรงยิ่งๆขึ้นไป ขอเอาใจช่วยครับ
Pai_Anonworld
มิถุนายน 21, 2017 at 12:45 am #5023preecha chotklang on Wed Oct 16, 2013 12:37 am
เรียน อ.ดร.อานนท์ สวัสดีคุณไผ่และสมาชิกครับ
วันนี้ผมขออนุญาตแชร์ประสบการณ์การใช้เห็ดบำบัดโรคของผมเองนะครับ
ช่วงสักก่อนปี50 ผมมีอาหารปวดและตรึงตรงบ่ามีอาการเป็นๆหายๆ เมื่อมีอาการตรึงบ่าก็จะนอนไม่ค่อยหลับ ต้องใช้ยานวดก่อนนอน แต่ช่วงนี้ก็เป็นไม่มาก นานเป็นที พอช่วงปี50-51 ขณะนั้นผมทำงานโรงงานไปด้วยและมาเรียนต่อป.โท ในวันเสาร์ – อาทิตย์ โดยที่วันเสาร์นั้นปกติก็ต้องทำงาน แต่ผมขออนุญาตทางบริษัทเป็นพิเศษเพื่อมาเรียนต่อ โดยในวันจันทร์ – วันศุกร์ก็ต้องทำงานที่โรงงานซึ่งก็มีงานที่ต้องรับผิดชอบเยอะอยู่แล้ว และวันเสาร์-อาทิตย์ก็ต้องมาเรียนหนังสือ ซึ่งก็มีงานที่ต้องทำส่งอาจารย์ก็ต้องมาทำกลางคืนวันศุกร์และวันเสาร์ ซึ่งบางครั้งก็ได้นอนเพียงไม่กี่ชั่วโมง ยิ่งช่วงทำวิทยานิพนธ์ด้วยแล้ว บางคืนแทบไม่ได้นอน เพราะต้องทำงานให้เสร็จเพื่อส่งตอนเช้า ทำให้อาการตรึงบ่ามีมากขึ้น ทำให้นอนไม่ค่อยหลับ หรือหลับไปก็เหมือนนอนหลับไม่เต็มอิ่ม แม้จะนอนตั้งแต่หัวค่ำก็ตาม ทำให้สุขภาพแย่มาก สมองไม่ค่อยแล่น ช่วงนี้ผมได้เข้าไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนหลายแห่ง ลองดูถ้ารักษาสัก 3 เดือนแล้วยังไม่ดีขึ้นผมก็ลองเปลี่ยนโรงพยาบาล โรงพยาบาลใหนที่เขาว่าดีๆ ดังๆ ก็ไปมาหลายที่แล้ว เข้าโรงพยาบาลครั้งหนึ่งค่าใช้จ่ายก็ไม่ต่ำกว่า 3,000 บาทเป็นอย่างน้อย ที่โรงพยาบาลหมอจะให้เอ็กซเรย์ที่ตรงคอ เพื่อดูกระดูกตรงคอ ก็ปกติ ยาที่คุณหมอจัดให้คือยาคลายกล้ามเนื้อ เป็นเหมือนกันทุกโรงพยาบาล เมื่อกินยาคลายกล้ามเนื้อสักพักอาการไม่ดีขึ้นผมจึงเลิกกิน เพราะหากกินต่อไปนาน ๆ อาจจะมีปัญหาต่อส่วนอื่นของผมได้ และทุกโรงพยาบาลก็หาสาเหตุของการปวด ตรึง ตรงบ่าไม่ได้
เมื่อหาหมอแล้วอาการไม่ดีขึ้น ผมก็เริ่มเปลี่ยนแนวมารักษาโดยการนวด โดยหาหมอที่เก่ง ๆ ในการนวด การกดจุด จับเส้น หลังการนวดอาการก็ดีขึ้น นอนหลับสบายขึ้น โดยเมื่อมีอาการตรึงบ่า ผมก็จะไปนวด ซึ่งเมื่อนวดแล้ว อาการก็จะดีขึ้นไปอีก 2 สัปดาห์
หลังจากใช้การรักษาโดยการนวด มาสักพักใหญ่ อาการก็เริ่มไม่ค่อยดีเท่าไรนัก คือเส้นที่ปวดนั้น การกดจุด กดได้ไม่ถึงจุดที่ปวด และต้องนวดถี่ขึ้น คือ สัปดาห์ละครั้ง
ต่อมาปลายปี 53 ผมมารู้จักกันคุณหมอฝังเข็มท่านหนึ่งที่มีฉายาเป็นหมอเทวดา ซึ่งท่านจะแมะ(การจับชีพจร)แล้วสามารถบอกได้ว่าเป็นโรคอะไร เป็นก้อนอะไรอยู่ตรงใหน ท่านสามารถบอกได้เลย แล้วท่านก็ให้วิธีฝังเข็มรักษา ช่วงต้นปี54 ท่านได้มาเปิดคลินิกแถวบ้านผม ผมจึงได้ไปรักษาโดยวิธีฝังเข็ม ซึ่งท่านได้ตรวจผม แล้วบอกว่าผมเป็นคนกระเพาะอาหารร้อน อาหารย่อยไม่ดี ทำให้เกิดแก๊สขึ้นในกระเพาะ แล้วจะไปดันตามเส้นต่าง ๆ ทำให้บ่าตรึง นอนไม่หลับ เลือดขึ้นไปเลี้ยงสมองน้อย ทำให้ปวดหัวบ่อย ๆ ซึ่งก็เป็นจริงดังที่คุณหมอบอก
การรักษาโดยวิธีฝังเข็มนั้น คุณหมอจะมา สัปดาห์ เว้นสัปดาห์ ผมก็มาฝังเข็มทุกสัปดาห์ที่คุณหมอมา ตอนที่คุณหมอฝังเข็มลงไปตรงจุดที่บ่านั้น จะรู้สึกได้เลยว่า เส้นที่ปวดตรงบ่านั้นเข็มจะแทงลงไปตรงจุดพอดีและจะรู้สึกว่ามีลมเคลื่อนออกไป ซึ่งเส้นที่ปวดนั้นมันอยู่ลึกเกินกว่าวิธีนวดโดยให้นิ้วกดจะทำได้
ผมรักษาโดยวิธีฝังเข็มมาเรื่อย ๆ และสุขภาพผมขึ้นมาก จนกระทั้งเกิดน้ำท่วมใหญ่ปลายปี54 ซึ่งคลีนิคหมอก็ท่วมด้วย และหยุดการรักษาไปโดยปริยาย
ช่วงน้ำท่วม บ้านผมโดนน้ำท่วมมิดหัว ผมมีธุรกิจส่วนตัวอีกอย่างคือการนำเข้าสินค้าประเภทเครื่องหนังซึ่งให้ภรรยาดูแล โดยบ้าน และ สินค้าผมโดนน้ำท่วมเสียหายมูลค่านับล้านบาท ได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล 25,000 บาท อาจจะด้วยความเครียด อาการปวดตรึงบ่าผมกลับมาเหมือนเดิม และ อาการกระเพาะอาหารไม่ย่อยหนักขึ้น คือช่วงเช้าตืนนอนขึ้นมาจะมีอาการแสบที่คอ เหมือนมีกรดมันย้อนขึ้นมา ช่วงนี้ผมเริ่มกลับเข้ารักษาที่โรงพยาบาลอีกครั้ง โดยครั้งนี้ผมไม่ได้ไปรักษาด้านตรึงบ่าอีกแล้วแต่เลือกไปรักษาด้านกรดใหลย้อนเลย ได้ลองไปรักษาโรงพยาบาลเอกชน อยู่ 2 แห่ง ลักษณะให้ยามาลองทานต่อเนื่องเป็นเดือน ๆ และปรับนิสัยการกินใหม่ โดย เช้า กับ กลางวันนั้น กินข้าวแค่เกือบเต็มกระเพาะ พอดื่มน้ำไปแล้วให้เต็มกระเพาะพอดี ส่วนมื้อเย็นน้้น กินแค่ครึ่งกระเพาะ และกินช่วงหัวค่ำให้อาหารย่อยให้หมดจึงจะนอนได้ และงดพวกเหล้า เบียร์ น้ำอัดลม กาแฟ เด็ดขาด
หลังจากกินยารักษาอาการกรดใหลย้อนมาหลายเดือน ผมก็เริ่มเบื่อที่จะกินยาทุกวัน และคุณหมอที่โรงพยาบาลก็ชวนให้ส่องกล้องดูในกระเพาะ ผมกลัวเจ็บจึงยังไม่กล้า พอคลินิคหมอฝังเข็มเริ่มกลับมาเปิดอีกครั้งช่วงกลางปี 55 ผมก็เลิกกินยา กลับมารักษาโดยวิธีฝังเข็มอีกครั้ง แต่การกลับมาครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งแรก ที่ฝังเข็มแล้วอาการดีขึ้นมาก แต่รอบนี้ฝังเข็มแล้วก็ไม่ดีนัก ดีขึ้นเพียง 3 วันหลังฝังเข็มเท่านั้น แต่คุณหมอจะกลับมาเปิดคลินิคอีกครั้งต้องอีกสองสัปดาห์ ทำให้อาการผมหนักมาก รู้สึกว่ากระเพาะอาหารไม่ย่อย กินอาหารไปแล้วรู้สึกว่าท้องอืด ไม่ย่อย ตื่นเช้าก็รู้สึกแสบคอ และต่อมาก็จะเป็นคออักเสบ เมื่อเป็นคออักเสบแล้ว ทานยาแก้อักเสบอย่างแรงก็ไม่หาย ต้องฉีดยาแก้อักเสบเลยจึงจะหาย ซึ่งอาการนี้จะเป็นสัปดาห์เว้นสัปดาห์เลยที่เดียว ผมจึงหาวิธีรักษาใหม่เพราะหากผมปล่อยให้เป็นอยู่อย่างนี้ มะเร็งจะมาหาผมแน่นอน
ต่อมาผมเริ่มมาศึกษาด้านการเพาะเห็ด และโชคดีของผม ได้มีโอกาสเข้าอบรมการเพาะเห็ดถั่งเช่าและเห็ดเป็นยารุ่นที่2 ของ ดร.อานนท์ และได้รู้จักกับน้ำเอ็มไซด์เห็ด และได้ซื้อน้ำเอ็มไซด์เห็ดถั่งเช่ามาทดลอง หลังจากทานไป 1 สัปดาห์ อาการท้องอืดผมก็ดีขึ้นมาก ช่วงที่มีอาการท้องอืด เวลาพูดกับใครต้องยืนอยู่ใกล ๆ เพราะปากเหม็นมาก ถึงผมจะอมลูกอมดับกลิ่นปากก็ไม่ได้ผล เพราะกลิ่นมันออกมาจากกระเพาะอาหาร ซึ่งเหม็นมาก หลังจากนั้นผมก็ทานน้ำเอ็มไซด์เห็ดถั่งเช่ามาเรื่อย ๆ หยุดบ้าง ทานบ้าง ปัจจุบันอาการกรดใหลย้อนของผมดีขึ้นมาก และสุขภาพอื่น ๆผมก็ดีขึ้นมาก ตั้งแต่ปลายปี55 จนปัจจุบัน ผมไม่ป่วยอีกเลย
ส่วนภรรยาผมนั้นป่วยเป็นโรค SLE ด้านเนื้อเยื่อ มีอาการตัวบวม แขนบวม ขาบวม และปวดตามเนื้อตามตัว ผมให้ทานแคปซูลเห็ดกระดุมบราซิล อาการของเธอก็ดีขึ้น อาการบวมดีขึ้น และผลดีอีกอย่างคือ เธอมีก้อนช็อคโกเลตซีสที่มดลูกขนาด 14 มม. หลังจากที่กินแคปซูลเห็ดกระดุมบราซิลประมาณ 3 เดือนแล้วไปตรวจใหม่ ขนาดของก้อนซีสลดลงเหลือเพียงเม็ดถั่วเขียว ซึ่งคุณหมอที่ตรวจยังงงว่ามันหายไปใหนเพราะตรวจครั้งก่อน 14 มม.แล้วอุลตราซาวด์หาไม่เจอ คุณหมอต้องใช้กล้องเข้าไปตรวจหา ตอนนี้ก็ให้ดื่มชาเห็ดกระถินพิมานด้วย อาการตัวบวมไม่มีแล้ว
ส่วนสาเหตุที่ภรรยาผมป่วย ผมวิเคราะห์ว่า มาจากการนอนดึก นอนไม่เป็นเวลา เนื่องจาก ช่วงนั้นเรามีลูกแฝด ซึ่งตอนกลางคืนเราเลี้ยงกันเอง ภรรยาผมต้องตื่นมาให้นมลูกบ่อย นอนไม่เป็นเวลา และนอนไม่เต็มอิ่ม ทำให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายต่ำลง ระบบต่าง ๆ ในร่างกายจึงเสียสมดุลย์ ซึ่งเธอเริ่มมีอาการเป็นโรคความดันก่อน โดยปวดศีรษะอย่างแรง กินยาก็ไม่ลง ต้องเข้านอนโรงพยาบาลปรีชา โชติกลาง
preecha chotklang
มิถุนายน 21, 2017 at 12:46 am #5024Pai_Anonworld on Thu Oct 17, 2013 8:55 am
ต้องขอขอบคุณ คุณปรีชาเป็นอย่างมาก ที่กรุณาเล่าถึงประสบการณ์การรักษาโรคของตัวเองและครอบครัว เพื่อให้บรรดาสมาชิกได้รับทราบ ถือว่า เป็นประสบการณ์ที่ทรงคุณค่า ที่หลายต่อหลายท่าน อาจจะมีปัญหาเช่นเดียวคุณปรีชา โดยอาจจะเข้าใจผิดว่า การจับๆ นวดๆ หรือฝังเข็ม หรือใช้ยาคลายกล้ามเนื้อแล้วจะหาย อันที่จริงแล้ว มันมีสาเหตุมาจากภายใน เริ่มตั้งแต่ระบบย่อยอาหาร และปริมาณจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในร่างกาย ที่คอยย่อยอาหาร คอยสร้างเอ็นไซม์ให้แก่ร่างกาย มันขาดความสมดุลย์ต่างหาก จึงทำให้มีการโฆษณาชวนเชื่อกันเรื่องเอ็นไซม์กันอย่างผิดๆดาษดื่นไปหมด หลายต่อหลายสินค้า โฆษณาอวดอ้างเรื่องเอ็นไซม์ว่า เกิดจากการหมักอะไรก็ไม่รู้ที่บอกว่าเป็นสูตรลับของแต่ละบริษัท โดยต้องใช้เวลาเป็นสิบๆปีนั้น เป็นข้อมูลที่ไม่ตรงกับความจริงเลย เพราะเอ็นไซม์จริงๆแล้วมันมีหลายพันชนิด ที่เป็นโปรตีนที่ถูกสร้างมาเป็นการเฉพาะงานเท่านั้น ส่วนใหญ่เอ็นไซม์จะถูกสร้างมาจากร่างกายและจุลินทรีย์โปรไบโอติก ที่ใช้เวลาในการสร้างอย่างรวดเร็ว ภายในไม่กี่นาทีเท่านั้น และมันจะสลายไปเมื่อมันหมดภารกิจของมัน โดยไม่สามารถที่จะอยู่เป็นสิบๆปีดั่งที่เข้าใจกัน อะไรก็ช่าง หากต้องทำการหมักเป็นปีหรือเป็นสิบปีแล้ว อย่างมาก ก็อาจจะมีเอ็นไซม์บางจำพวก เช่น เอ็นไซม์ที่ทำให้เกิดกรดน้ำส้มหรือกรดแลคติกเท่านั้น
Pai_Anonworld
- ผู้เขียนข้อความ
- You must be logged in to reply to this topic.